วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ศึกชิงทรัพยากร.... ที่ทะเลจีนใต้





ศึกชิงทรัพยากร.... ที่ทะเลจีนใต้


view-source:http://www.thairath.co.th/media/content/2011/06/18/179933/hr1667/630.jpg


ทหารเวียดนามสังกัดกองทัพเรือฝึกยิงปืนกลหนัก 12.7 มม. บนเกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะสแปรตลี ระหว่างการซ้อมรบใหญ่เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. จนสถานการณ์ในทะเลจีนใต้เกิดความตึงเครียด หลายฝ่ายเกรงว่าจีนจะตอบโต้ด้วยกำลังทางทหารเหมือนในอดีต.

ปัญหาหนักอกในภูมิภาคอาเซียนขณะนี้คงหลีกหนีไม่พ้นเรื่องข้อพิพาทเขตแดน เพราะไม่ได้มีเรื่องของ “ไทย–กัมพูชา” อย่างเดียว แต่มีเรื่องของ “เวียดนาม” เพิ่มมาด้วย

แถมคู่กรณีเรียกได้ว่าน่าเกรงขามสุดๆ มิใช่ใครอื่นไกล “สาธารณรัฐประชาชนจีน” หนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลก

โดยประเด็นที่ 2 ฝ่ายกัดกันเป็นเรื่อง “เก่าเก็บ” มานานเกือบศตวรรษที่จนบัดนี้ก็ยังหาทางออกไม่ได้ คือเรื่องสิทธิในการครอบครองหมู่เกาะพาราเซล และหมู่เกาะสแปรตลีในทะเลจีนใต้

เหตุการณ์กลับมาตึงเครียดในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังเวียดนามกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลของเรือที่ใช้ในการสำรวจค้นหาน้ำมันบริเวณหมู่เกาะพิพาทด้วยการใช้เรือประมงพุ่งชน ขณะที่จีนก็แถลงการณ์ตอบโต้ระบุเป็นเพียงอุบัติเหตุ แหของเรือประมงเกิดไปพันกับสายเคเบิล พร้อมชี้ว่า “เวียดนามควรหยุดพฤติกรรมรุกรานอธิปไตยของจีน”

ประโยคท้ายนี่เองที่ทำให้เวียดนามฉุนขาด จัดการซ้อมรบทางยุทธนาวีขนานใหญ่ในน่านน้ำของตนและในพื้นที่หมู่เกาะพิพาท ช่วงวันที่ 13-14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายฝ่ายที่จับตาสถานการณ์ใกล้ชิดถึงกับหนาวสะท้านไปตามๆกัน เพราะพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการ “ท้าทาย” จีนตรงๆ มีสิทธิที่จะถูกตอบโต้สูง

ทั้ง 2 ฝ่ายเคยรบกันอย่างดุเดือดในพื้นที่หมู่เกาะพิพาทมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยในปี 2517 กองกำลังปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ส่งกองเรือเข้าครอบครองบริเวณทิศตะวันออกหมู่เกาะพาราเซล ทำให้ปะทะกับกองทัพเรือของเวียดนาม

ผลลัพธ์ที่ออกมาคือจีนได้รับชัยชนะ จมเรือลาดตระเวนเวียดนามได้ 1 ลำ ยิงเสียหายหนักอีก 3 ลำ มีทหารเวียดนามถูกสังหาร 53 นาย บาดเจ็บ 16 นาย ถูกจับกุม 48 นาย ขณะที่เรือรบของจีนได้รับความเสียหาย 4 ลำ มีทหารเสียชีวิต 18 นาย

และศึกใหญ่ในวันที่ 14 มีนาคม 2531 บริเวณเกาะจอห์นสัน เซาธ์ รีฟ ในหมู่เกาะสแปรตลี กองทัพเรือเวียดนามส่งเรือขนส่งติดอาวุธ 2 ลำ ขนทหารไปปักธงอ้างสิทธิการครอบครองเกาะดังกล่าว ทำให้ถูกเรือพิฆาตที่จีนส่งมายับยั้งจำนวน 3 ลำ เปิดฉากโจมตีใส่ ผลคือทหารเวียดนามเสียชีวิตมากกว่า 70 นาย ถูกจับกุม 40 นาย ขณะที่เรือขนส่งก็ถูกยิงจมกลายเป็นปะการังเทียมใต้ทะเล

อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์ตึงเครียดครั้งใหม่นี้ แม้รัฐบาลจีนจะโชว์ซ้อมรบคืนบ้าง แต่ก็ใช้วิธีทางการทูตเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยนายหง เล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกมายืนยันว่าจะไม่ข่มขู่หรือใช้กำลังทางทหาร ขอให้ทุกฝ่ายกระทำการที่จะช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งทางรัฐบาลเวียดนามก็ไม่ออกมาตอบโต้แต่ประการใด สถานการณ์จึงเริ่มผ่อนหนักเป็นเบา

view-source:http://www.thairath.co.th/media/content/2011/06/18/179933/l20/o2/420/457.jpg

เส้นที่ขีดยาวในทะเลจีนใต้คือพื้นที่ทางทะเลที่ประเทศจีนอ้างสิทธิใน การครอบ ครอง โดยครอบคลุมทั้งหมู่เกาะพาราเซล (1) และหมู่เกาะสแปรตลี (2)

ทั้ง นี้ ปัญหาข้อพิพาทหมู่เกาะดังกล่าว ทางสหประชาชาติ (UN) เคยพยายามเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้เมื่อปี 2525 มีการร่างพิธีสารขึ้นมาเรียบร้อย แต่สุดท้ายก็ทำให้ประเทศอื่นๆในบริเวณทั้งฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน ต่างเข้ามาร่วมอ้างสิทธิในการครอบครองมากกว่าเดิม ขณะที่คู่กรณีเวียดนาม-จีน ก็ไม่ฟังเสียงภายนอก พร้อมยกประเด็นประวัติศาสตร์มาเถียงกันเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง โดยเวียดนามระบุว่าตนเป็นเจ้าของหมู่เกาะพาราเซลและสแปรตลีมาตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 17 หรือกว่า 400 ปีก่อน จีนเพิ่งจะมาเขียนแผนที่อ้างการครอบครองเมื่อปี 2490 ส่วนจีนก็อ้างยาวไปว่าหมู่เกาะดังกล่าวเป็น
ส่วนหนึ่งของประเทศตนตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน

ทำไม หมู่เกาะดังกล่าวโดยเฉพาะสแปรตลี ที่พื้นที่ส่วนมากเป็นแนวปะการังและสันทรายโผล่เหนือน้ำทะเลมานิดเดียว จึงกลายเป็นปมขัดแย้งถึงขั้นต้องฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงมา...คำตอบคือ “ทรัพยากรธรรมชาติ”

สำนักงานด้านข้อมูลทางพลังงานแห่งชาติสหรัฐฯ (EIA) ประมาณการไว้ว่าหมู่เกาะอาจเป็นแหล่งขุมทรัพย์มี“ทองคำสีดำ” หรือน้ำมัน ซุกซ่อนอยู่มากถึง 28,000 ล้านบาร์เรล ขณะที่ก๊าซธรรมชาติก็อาจมีสูงถึง 25 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร เทียบเท่ากับแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองของประเทศ “กาตาร์” ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ส่วนจีนประเมินไว้เหนือกว่านั้นเยอะ โดยคาดว่ามีน้ำมันมากถึง 213,000 ล้านบาร์เรล มากกว่าแหล่งน้ำมันสำรองของ “สหรัฐอเมริกา” ถึง 10 เท่าตัว

ด้วยประการฉะนี้จึงค่อนข้างแน่นอนว่า วันใดวันหนึ่งสถานการณ์ก็จะกลับมาตึงเครียดดังเดิม ตราบใดที่มีปัจจัยดังกล่าวเป็นเดิมพัน

เหมือน กับกรณีพิพาทไทย–กัมพูชา ที่ฝ่ายหลังหมายมั่นปั้นมือจะเอาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณพรมแดนให้ได้ เพราะหากทำสำเร็จก็ต้องมีการตีเส้นเขตแดนทางทะเลกันใหม่ เท่านั้นแหละก็จะได้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยไปอื้อซ่า



ปล. เราว่ามันเกี่ยวข้องกับวิชาสำรวจระยะไกลนะ

Credit : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐค่ะ วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2554 (สดๆร้อน)

นางสาว รวิกร พูลศิริ 027 ค่ะ

เจ๋ง! สเปนเปิดตัวโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เจ๋ง! สเปนเปิดตัวโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถผลิตไฟฟ้าในเวลากลางคืนเป็นแห่งแรกของโลกแล้ว

ในขณะที่หลายประเทศกำลังต่อต้านโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ หลังเกิดเหตุการณ์รังสีรั่วไหลในประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศก็ทยอยสั่งปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่งไปแล้ว ทางด้านประเทศสเปนดูจะไม่เดือดร้อนอะไรกับปัญหาดังกล่าวแม้แต่น้อย เพราะไม่ต้องปิดโรงไฟฟ้าอย่างประเทศอื่น แต่กลับกัน ชาวสเปนต้องยืดอกยิ้มกับชาวโลกอย่างเต็มภาคภูมิ เมื่อบ้านเมืองเขาเพิ่งจะเปิดตัวโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทำงานในเวลากลางคืนได้เป็นแห่งแรกของโลกไปเมื่อไม่นานมานี้

เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานว่า โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าว มีชื่อว่า เยมาโซลาร์ ตั้งอยู่ใกล้เมืองเซบีญาทางตอนใต้ของสเปน ซึ่งนอกจากจะสามารถทำงานในเวลากลางคืนได้แล้ว เยมาโซลาร์ ยังเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย และขณะนี้ได้เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายตามบ้านเรือนแล้ว 




http://www.clipmass.com/

ที่มา www.clipmass.com

นายวีระชัย บุญวิบูลวัฒน์ (lee)

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จีนยืดอกรับ เขื่อนสามผา ส่งผลกระทยต่อสิ่งแวดล้อม

รัฐบาลจีนเปิดเผยในวันนี้ (19 พ.ค.)ว่า โครงการเขื่อนสามผา ซึ่งเป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่มีกำลังผลิตมากที่สุดในโลก และถือเป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างที่รัฐบาลจีนภาคภูมิใจมากที่สุด ได้ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการตามมา ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

คณะรัฐมนตรีจีน ได้รับทราบถึงผลกระทบโดยตรงจากเขื่อน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และภูมิศาสตร์ ในระหว่างการประชุมด้านโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในอนาคต โดยมีประธานาธิบดีเหวิน เจีย เป่า เข้าร่วมการหารือ โดยแถลงการณ์ตอนหนึ่งระบุว่า เขื่อนสามผาได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์มหาศาลกับประเทศจีน ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลกระทบที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อาทิ การอพยพย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ การปกป้องระบบนิเวศวิทยา และการป้องกันหายนะอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์ นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อการขนส่งสินค้าทางเรือในช่วงใต้เขื่อน การชลประทาน และการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร

เขื่อนสามผาเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1993 โดยกั้นขวางแม่น้ำแยงซี โดยมีมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.75 แสนล้านบาท) และเริ่มผลิตไฟฟ้าได้เมื่อปี 2008 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้มันเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาดแหล่งใหม่ของจีน อีกทั้งเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่มักเกิดขึ้นซ้ำซากในเขตพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแยงซี ซึ่งในขณะที่สร้างเขื่อนนั้น ทางการจีนต้องเร่งอพยพประชาชนในพื้นที่โดยรอบถึงประมาณ 1.4 ล้านคน อีกทั้งยังทำให้ศาสนสถานและโบราณสถานหลายแห่งต้องจมอยู่ใต้น้ำ

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญและนักสิ่งแวดล้อมหลายรายได้ออกมาคัดค้าน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม หรือเขื่อนทรุดตัว หากเกิดเหตุแผ่นดินไหว อันเนื่องมาจากการที่เขื่อนต้องรับปริมาณน้ำที่มากจนเกินไป อีกทั้งพื้นที่เหนือเขื่อนจะกลายเป็นแหล่งรับเสียจากมลพิษได้เป็นอย่างดี และทำลายคุณภาพของน้ำทั้งหมดในที่สุด

คำแถลงการณ์จากคณะรัฐมนตรียังระบุอีกว่า รัฐบาลควรเร่งมือดำเนินการเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้ และเน้นย้ำให้เร่งแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยเร็ว

ด้านสื่อมวลชนจีนรายงานว่า เหตุฝนตกหนักในช่วงฤดูร้อนปีที่แล้ว ก่อให้เกิดอุทกภัยอย่างหนัก และกวาดเอาเศษขยะและวัสดุต่างๆลงสู่แม่น้ำแยงซีจำนวนมหาศาล และอาจเข้าไปติดในเครื่องจักรต่างๆในเขื่อน จนกระทั่งไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ


วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้จัดทำระบบภูมิสารสนเทศสถิติ (SGIS : Statistical Geographic Information System) ขึ้น เพื่อนำเสนอข้อมูลสถิติเชิงพื้นที่ (Spatial Statistics)ในลักษณะของแผนที่ (Thematic Maps)โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS : Geographic Information System) ซึ่งจะแสดงให้เห็นภาพการกระจายตัว การกระจุกตัวของสารสนเทศสถิติที่สนใจ และการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ ในเชิงพื้นที่ ได้ชัดเจน และเข้าใจง่าย มากกว่าการพิจารณาดูจากตารางสถิติ จึงใช้ประโยชน์ช่วยในการวางแผน กำหนดนโยบาย การติดตามประเมินผลโครงการ การจัดสรรงบประมาณ ในระดับท้องถิ่น ตลอดจน การบริหารจัดการเชิงพื้นที่
ผู้ใช้งานระบบสามารถสืบค้นว่ามีสารสนเทศอะไรในพื้นที่ มากที่สุด น้อยที่สุด หรือที่สนใจอยู่ที่ไหน เช่น จังหวัดหรืออำเภอใดมีคนจนมากที่สุด หรือมีการปลูกมันสำปะหลังที่อำเภอใดบ้างในประเทศไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติได้ให้บริการภูมิสารสนเทศสถิติเป็นแบบ Web Map Services โดยใช้มาตรฐานของ OGC : Open Geospatial Consortium จึงสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลแผนที่ระหว่างหน่วยงานได้


ไม่รู้ว่าเพื่อนเคยได้ยินกันยัง แต่แจนเพิ่งเคยได้ยิน ได้เห็นง่า ก็มีสถิติงี้ด้วยเนอะ แต่อาจจะไม่ตรงกับเรา ก็เอามาให้ดูกัน

ที่มา NSO-GIS เข้าถึงได้ที่

http://sgis.nso.go.th/sgis/

ปตท.ขานรับแผน สนพ.ลุยผลิตก๊าซชีวภาพอัด หรือ CBG


สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยู่ในขั้นตอนการศึกษาพื้นที่ที่สามารถพร้อมพัฒนาโครงการก๊าซชีวภาพ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณทางฝั่งตะวันตกของภาคใต้แถบกระบี่ ตรัง พังงา ขานรับกับ สนพ.เร่งผลักดันการพัฒนาระบบผลิตก๊าซชีวภาพอัด (Compress Bio Gas) หรือ CBG ที่สามารถผลิตได้จากทรัพยากรเหลือทิ้งอย่างพืช ผัก มูลสัตว์ นำมาผ่านกระบวนการหมักให้ได้ก๊าซชีวภาพ เพื่อนำมาใช้ทดแทนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ในพื้นที่ห่างไกลแนวท่อก๊าซ และยังสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งได้ด้วย โดยก่อนหน้านี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับบริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบนท์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ UAC ลงทุนผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ที่มีกำลังผลิต 6.5 ตัน/วัน และขณะนี้ สนพ.เข้าไปสนับสนุนการวิจัยอีกทาง ด้วยการนำพืชพลังงานประเภทโตเร็ว เป็นพืชในตระกูลไจแอนท์คิงกลาส กลุ่มหญ้าขนาดใหญ่และโตเร็ว ได้แก่เนเปียร์ บาน่า มาทดลองหมักเป็นก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าและความร้อนได้ รวมทั้งระยะเวลาใน 2 ปีข้างหน้า จะมีการพัฒนาไปสู่ระบบก๊าซชีวภาพอัดต่อไปด้วยสำหรับหญ้าบาน่ามีการปลูกอยู่ในไทย ใช้เป็นอาหารช้าง เมื่อนำมาผลิตก๊าซชีวภาพอัด จะมีต้นทุนอยู่ที่ 16.50 บาท/กิโลกรัม ถูกกว่าต้นทุนจำหน่ายก๊าซเอ็นจีวีในพื้นที่ห่างไกล ที่คำนวณไว้ตลอด 6 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 สนพ.ผลิตก๊าซชีวภาพได้เป็นมูลค่า 3,746 ล้านบาท/ปี จำนวน 700 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี หรือ 2.14 แสนตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ ด้วยวิธีส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ มูลสัตว์ และเศษอาหาร แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการพัฒนาโครงการระบบผลิตก๊าซชีวภาพอัดว่า ผลจากการศึกษาพื้นที่เหมาะสมขณะนี้มี 3 จังหวัด คือสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และพังงา ซึ่งยังอยู่ระหว่างเจรจากับโรงงานผลิตปาล์มน้ำมัน เพื่อรับซื้อผลปาล์มที่เหลือทิ้งทั้งหมด นำมาผ่านกระบวนการให้เกิดเป็นก๊าซชีวภาพ และนำไปใช้ในรถยนต์ หวังผลสำเร็จในการลดต้นทุนการขนส่งก๊าซเอ็นจีวีไปภาคใต้ และเป็นวิธีนำทรัพยากรเหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบัน ต้นทุนผลิตก๊าซธรรมชาติจริงอยู่ที่ 14 บาท/กิโลกรัม แต่รัฐบาลให้คงราคาขายไว้ที่ 8.50 บาท โดยให้ ปตท.รับภาระส่วนต่างไว้ควบคู่กับแผนขยายสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีต่อไปตามเป้า 500 แห่ง ในบริเวณพื้นที่ห่างไกลแนวท่อบางแห่งต้องใช้วิธีขนส่งโดยรถบรรทุก ระยะทางยิ่งไกลต้นทุนยิ่งเพิ่ม ถ้าหันมาทำก๊าซชีวภาพอัด จะเป็นทางออกที่ดีเรื่องต้นทุนและบริการมีรายงานจากกระทรวงพลังงานว่า ขณะนี้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือเอ็นจีวีเพิ่มต่อเนื่อง 6,000 ตัน/วัน ส่งผลให้บางพื้นที่อาจมีปัญหาปริมาณก๊าซขาดแคลนบางช่วง จึงต้องหาวิธีผลิตก๊าซธรรมชาติอัดป้อนความต้องการในพื้นที่ห่างไกลให้เร็วที่สุด

วริยา ตั้งก่อเกียรติกุล 5215029

พิธีเปิดอุทยานภูมิสารสนเทศชุมชน: Geo-informatics Community Park - GCP

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีภารกิจหลักในการบริการข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากร พัฒนาภูมิสารสนเทศเพื่อตอบสนองภารกิจของรัฐบาล การควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียมสำรวจโลก ตลอดจนการสร้างขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้า และการยกระดับคุณภาพชีวิตพัฒนาประเทศและสร้างเสริมความรู้ความคิดของประชาชนทางด้านวิทยาศาสตร์ ให้มีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ ตลอดจนเร่งรัดการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ให้มีความสมดุลของการใช้ประโยชน์ การถือครอง และการอนุรักษ์ฐานทรัพยากร ที่ดิน ป่าไม้ สัตว์ป่า ทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทรัพยากรธรณี และทรัพยากรอื่นๆ ในท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน สทอภ. ได้เปิดอุทยานภูมิสารสนเทศชุมชน ฉะเชิงเทรา โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2554 เวลา 09.00 น. ณ แพลนเนท พาร์ค อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา

อุทยานภูมิสารสนเทศชุมชน ฉะเชิงเทรา Geo-informatics Community Park : GCP ณ แพลนเนท พาร์ค (Planet Park) อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมที่จะเป็นพื้นที่ต้นแบบในการศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติ อุดมสมบูรณ์ ต่อมาแปรสภาพเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้ง จนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายกลายสภาพเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมไม่สามารถทำการเกษตรได้ ปัจจุบันจึงมีการฟื้นฟู พัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชนรูปแบบใหม่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศระดับชุมชน โดยมุ่งหวังให้ประชาชนและชุมชนได้รู้ เข้าใจ ใช้ประโยชน์ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน รูปแบบการเรียนรู้จะเน้นการเชื่อมโยงวีถีชุมชนดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ในการติดตาม ฟื้นฟูและรักษา อนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างความตระหนักและปลูกฝังการหวงแหนทรัพยากรในท้องถิ่นให้กับเยาวชนรุ่นหลังต่อไป ซึ่งอุทยานภูมิสารสนเทศชุมชน ฉะเชิงเทรา มีแนวคิดในการจัดแบ่งส่วนการนำเสนอเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยการบริการให้ทางวิชาการ สร้างความตระหนักและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เน้นให้ประชาชนและชุมชนมีส่วนร่วม ส่วนที่สองเป็นส่วนแสดงนิทรรศการกึ่งถาวรในรูปแบบใหม่ที่มีชีวิตชีวาและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชม มีเนื้อหาเชื่อมโยงระหว่างวีถีชุมชนแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศอย่างกลมกลืน โดยให้ประชาชน และชุมชนมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนในอนาคต



ก็เป็นทางหนึ่งในการศึกษา ด้านภูมิสารสนเทศ น่าไปเยี่ยมชมจริงๆเลยเนอะ

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กำจัดมูลฝอยด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ดร.ไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่
เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารโรงงานกำจัดมูลฝอยชุมชนแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า
ด้วยเทคโนโลยี Ash Melting Gasification เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554
ณ ศูนย์กำจัดมูลฝอยเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา








ซึ่งเป็นโรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถกำจัดมูลฝอยชุมชนได้ถึง 250 ตัน/วัน
และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 6 เมกกะวัตต์

.
.
.


ที่มา : http://www.paktainews.com/


.
.

สมฤทัย เจตเกษกิจ (มอมแมม) 075 ,, ^[++++++++]^ ,,

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Pirates of the Caribbean OoO!!!

มาไร้สาระอีกแล้ว -__-;
หนังเก่าไปหน่อยน้า
เราไปดูมา ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร
แต่พอมาเรียนวิชานี้แล้วก็นึกขึ้นมาได้อ่ะ
ว่าเข็มทิศที่ กัปตันแจ็ก สแปร์โรว์ มีอ่ะ
มันก็คือ "GPS" ไม่ใช่หรือง้ายยยยย OoO!!!
แถมยังดีว่าอีกเพราะแค่คิดก็นำทางไปได้แล้ว
GPS ในปัจจุบันจะสามารถพัฒนาไปถึงขั้นนั้นได้ไหม
ไม่แน่นะอาจจะทำได้ก็ได้ ^^


http://www.youtube.com/watch?v=KR_9A-cUEJc


น.ส. ปภาวรินท์ รื่นปาน (มิ้นท์)

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบูรณาการข้ามศาสตร์ กับมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ 21

      บทความนี้จะกล่าวถึงมหาวิทยาลัยในมิติที่แตกต่างจากกรอบแนวคิดเชิง รัฐศาสตร์ ด้านกฎระเบียบ หรือด้านการบริหารจัดการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการออกนอกระบบหรือไม่ของมหาวิทยาลัยที่มีผู้กล่าวถึงไว้ แล้วอย่างมากมาย โดยบทความนี้จะมองข้ามเลยไปที่กรอบของอนาคตในศตวรรษที่ 21ของมหาวิทยาลัย ที่มีข้อจำกัดทั้งในเชิงทรัพยากรบุคคล(อาจารย์)ที่คงจะต้องมีองค์ความรู้ เชิงบูรณาการข้ามศาสตร์มากขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) มาช่วยในการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนและการวิจัย ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศที่ว่านี้ คงไม่ใช่เฉพาะการมีฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครือข่าย เป็นหลักเท่านั้น การมีสาระเนื้อหาวิชา (Content) ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในการเรียนการสอนและการวิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนา ประเทศที่ยั่งยืนนั้น ดูจะเป็นหลักที่สำคัญมากกว่าต่อการยกระดับมาตรฐานมหาวิทยาลัยในอนาคต เพราะสาระเนื้อหาทางวิชาการที่ดีและเหมาะสมที่จะใช้พัฒนาประเทศในแต่ละ พื้นที่ ในแต่ละช่วงเวลาอย่างเป็นพลวัตนั้น คงจะหาซื้อไม่ได้ง่ายๆและใช้งานได้ทันที่เหมือนการจัดหาฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครือข่าย อย่างแน่นอน

ปัจจุบัน ประเทศไทยนับได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นการเปลี่ยนผ่านแห่งยุค สมัย จากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) และจากการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมไปถึงผลกระทบจากการวิกฤตเศรษฐกิจ (ในปี พ.ศ. 2540) ที่เพิ่งผ่านพ้นมาไม่นานนัก ปัจจัยแห่งกระแสการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ประการดังกล่าว ก่อให้เกิดการปฏิวัติ เปลี่ยนแปลง รูปแบบ วิถีชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กรทั้งองค์กรภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน ที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำงาน ไปจนกระทั่งการปรับโครงสร้างขององค์กร โดยเฉพาะการปฏิรูประบบราชการ ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งทางตรง (ข้าราชการกว่า 2 ล้านคน) และทางอ้อม (ประชาชนกว่า 60 ล้านคนทั้งประเทศ)

สถาบัน การศึกษาโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็มิอาจล่วงพ้นกระแสแห่งการเปลี่ยนไปได้เฉกเช่นเดียวกัน กระแสวิตกในเรื่องของการปฏิรูประบบราชการ การปฏิรูปการศึกษา ไปจนกระทั่งการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ จึงเป็นหนึ่งในประเด็นที่สร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น ถือได้ว่าเป็นทั้งวิกฤตและเป็นทั้งโอกาส ซึ่งเฉพาะผู้ที่เตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเท่านั้น ที่จะสามารถฉกฉวย ช่วงชิงเอาประโยชน์ และสร้างความได้เปรียบจากกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้นไว้ได้

ทันที ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ก้าวพ้นออกนอกระบบราชการ การแข่งขันที่เข้มข้น รุนแรงเพื่อช่วงชิงลูกค้า (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือบรรดาเหล่านักเรียน นิสิต นักศึกษานั่นเอง) ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าในปัจจุบันอีกมากมายหลายเท่านัก ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ตลาดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา จะขยายตัวอย่างมหาศาล จากการที่กฎหมายตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กำหนดให้ประชาชนผ่านการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี และยังจะต้องให้บริการการศึกษา 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ขีดความสามารถในการรองรับนิสิตนักศึกษาที่จะทะลักเข้ามาจากระบบโรงเรียนนั้น ทรัพยากรต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยมีอยู่จะเพียงพอหรือไม่อย่างไร ซึ่งแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าว ก็หนีไม่พ้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ และสนับสนุนในการเรียนการสอน โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายมากที่สุด

หนึ่ง ในรูปแบบของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกันอย่างแพร่หลาย และแทบจะทุกมหาวิทยาลัย ต่างก็เร่งพัฒนาเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำ คือ ระบบการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E - Learning หรือ E - Education (E ย่อมาจาก Electronic ) นั่นเอง ซึ่งข้อดีของเทคโนโลยีการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้น คงเป็นที่ทราบหรือรับรู้กันดีอยู่แล้ว ทั้งในด้านของความสะดวก (เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา) รวดเร็ว (สื่อสารหรือค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว) ประหยัด (ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายต่ำกว่า) และสามารถแก้ไขปัญหาทางด้านการขาดแคลนทรัพยากรที่ใช้ในการเรียนการสอนได้ เช่น ครู อาจารย์ หรืออุปกรณ์การเรียนต่างๆ ให้สามารถรองรับผู้เรียนจำนวนมากได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เทคโนโลยีทางด้านข้อมูลข่าวสาร ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และเทคโนโลยีระบบเครือข่าย (อินเตอร์เน็ต) ได้ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ คนคาดหวัง คือ E - learning จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของกลุ่มคนในประเทศลงได้ อย่างไรก็ตาม E - learning ในความหมายที่คนส่วนใหญ่นึกถึงนั้น มิได้เป็นเพียงแค่การนำบทเรียน หนังสือ รูปภาพ แบบการเรียนการสอน หรือเอกสารทางวิชาการ เข้าไปใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์หรือในอินเตอร์เน็ต ที่ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้จากทุกที่ตลอดเวลา เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์กับสายโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งแนวความคิดที่ดังกล่าวแม้จะไม่มีข้อผิดพลาด แต่ก็ไม่ถือว่าถูกต้องเสียทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ (Strategic) และการจัดวาง ยุทธศาสตร์ในการนำ E - Lerning ไปใช้ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยชี้ขาดแห่งความสำเร็จทั้งมวล ซึ่งรูปแบบการนำไปใช้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้
  1. การนำไปใช้เพื่อเสริม เพิ่มเติม หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน ในลักษณะของเครื่องมือสนับสนุนการเรียนการสอน การศึกษา ค้นคว้า และการแลกเปลี่ยนความรู้
  2. การนำไปใช้ในลักษณะของการแทนที่การเรียนการสอนแบบเดิม (Replacement) ทั้งหมด
การ นำ E - learning ไปประยุกต์ใช้นั้น คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่า E - learning จะไปทดแทนการเรียนการสอนในรูปแบบเดิมๆ ทั้งหมด (Replacement) ในที่สุด ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนจากที่ใดก็ได้ในเวลาที่สะดวก และไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสถาบันการศึกษา หรือไม่จำเป็นต้องพบหน้าครูผู้สอนแต่อย่างใด ซึ่งแนวทางดังกล่าว ถูกมองว่าเป็นการลดบทบาท ความสำคัญของครูผู้สอน หรืออาจารย์ให้ลดลง ซึ่งความคิดดังกล่าว ไม่เพียงแต่ไม่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความเป็นจริง ซึ่งบทบาทของครูผู้สอนหรืออาจารย์ในยุคของ E - learning กลับยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งๆ ขึ้นไป แต่เป็นความสำคัญในบทบาทใหม่หรือสถานะใหม่ จากการเป็นผู้ป้อนความรู้หรือเนื้อหาวิชา (Content) ให้โดยตรง ไปเป็นผู้ให้คำชี้นำชี้แนะ ในการเข้าถึงแหล่งความรู้ เป็นผู้สร้างและสังเคราะห์ความรู้ที่สามารถแบ่งปันให้กับผู้เรียน โดยการนำความรู้ การเชื่อมโยงแหล่งความรู้มาประกอบเป็นบทเรียนที่ให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึง ได้ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มทักษะของการได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูล การวิเคราะห์ตีความ และการนำข่าวสารข้อมูลที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อประเทศชาติในที่สุด ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบ หรือเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor) ที่สำคัญที่สุดของการเรียนการสอน เหนือกว่าองค์ประกอบทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เครือข่ายความเร็วสูง หรือซอฟต์แวร์ช่วยสอนที่ถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรบรรจง

ความ แตกต่างทางด้านเทคโนโลยีในการเข้าถึงเนื้อหาวิชา ความรู้ หรือข้อมูลข่าวสารนั้น ในอนาคต จะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะองค์กรภาครัฐเอง ก็ได้มีการจัดทำโครงการเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการศึกษาแห่งชาติ( National Education Network หรือ ED-Net ) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเครือข่าย Internet ให้บริการกับสถานศึกษาทั่วประเทศให้สถานศึกษาทุกระดับสามารถเข้าถึง Internet ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยให้สถานศึกษาเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด โดยโครงการนี้เป็นการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างทบวงมหาวิทยาลัยและกระทรวง ศึกษาธิการ โดยการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการ และ ทบวงมหาวิทยาลัย จะรวมเป็นกระทรวงเดียวกัน โดยอาศัยเครือข่าย UNINet ของทบวงมหาวิทยาลัยที่มีอยู่แล้ว เป็น Backbone

อย่าง ไรก็ตามปัญหาทางด้านเครื่องมือ คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์และช่องทางในการสื่อสารนั้น นับว่าเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปัญหาในการจัดทำเนื้อหาวิชา (Content) ซึ่งไม่เพียงต้องอาศัยนักพัฒนาโปรแกรม หรือช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์อย่างเช่นในอดีตที่ผ่านๆ มาเท่านั้น แต่ต้องอาศัยทีมงานที่พร้อมเพรียง ได้แก่ ผู้สร้างเนื้อหาหรืออาจารย์ผู้สอน นักออกแบบการสอนทางคอมพิวเตอร์ นักออกแบบทางด้านกราฟิก (Graphic) ทำงานร่วมกันกับนักพัฒนาโปรแกรม (Programmer) และผู้เชี่ยวชาญทางด้านสื่อ ฯลฯ เข้ามาทำงานร่วมกัน จึงจะสามารถสร้างสื่อการเรียน อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ได้ ซึ่งทบวงมหาวิทยาลัยที่ถือเป็นหน่วยงานกลางที่ดูแลการศึกษาในระดับอุดมศึกษา นั้น ควรเข้ามารับหน้าที่ในการจัดทำเนื้อหาวิชาดังกล่าวโดยอาศัยทรัพยากรบุคคลที่ มีความสามารถจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาทำเนื้อหาวิชาร่วมกัน(โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาวิชาพื้นฐานที่นักศึกษา ส่วนใหญ่ต้องลงทะเบียนเรียน) แม้ว่าจะไม่เคยมีวัฒนธรรมการทำงานในลักษณะดังกล่าวนี้มาก่อนก็ตาม แต่ก็ใช้ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามีการบริหารจัดการที่เป็นระบบและมีแรงจูงใจที่ดี ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างมาตรฐานในการเข้าถึงเนื้อหาวิชาที่มีมาตรฐานเท่าเทียมกัน และยังเป็นการลดความซ้ำซ้อนในการจัดทำเนื้อหา ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดทำเนื้อหาในแต่ละครั้ง แต่ละวิชาค่อนข้างสูง และจะเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมหาศาลถ้าต้องทำซ้ำซ้อนกัน

นอก จากนี้ทบวงมหาวิทยาลัย ยังสามารถเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ (Content Provider) แลกเปลี่ยนข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ งานวิจัย และเทคโนโลยีต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและการวิจัย รวมทั้งการให้บริการต่อชุมชน อย่างเช่น โครงการการออกแบบและพัฒนาระบบฐานข้อมูลการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นเพื่อการบริ หาร ที่ทบวงมหาวิทยาลัยได้เริ่มให้มหาวิทยาลัยต่างๆให้ความสำคัญและสนใจต่อการ พัฒนาชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน ซึ่งเราก็ทราบกันดีว่าชุมชนเป็นหน่วยหลักในระดับรากหญ้าซึ่งมีความสำคัญต่อ การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนที่เราเคยกล่าวถึงมาเสมออยู่ทุกยุคสมัย แต่เราไม่เคยลงไปแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือกันอย่างเป็นระบบจริงๆกันอย่างเต็ม ที่เลย โครงการดังกล่าวนี้ได้เริ่มมีการทำการศึกษาวิจัยร่วมกันของมหาวิทยาลัยของ รัฐเกือบทั้งหมดซึ่งอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปี พ. ศ. 2545 นี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาวิจัยที่มีการบูรณาการข้ามศาสตร์ ทั้งจากคณาจารย์จากกลุ่มทางด้านวิทยาศาสตร์และจากกลุ่มทางด้านสังคมศาสตร์ ที่มีโอกาสได้รับความรู้จริงจากการพัฒนาข้อมูลเชิงพื้นที่หรือภูมิสารสนเทศ ร่วมกันในพื้นที่จริงๆของประเทศเรา ด้วยการประยุกต์ใช้ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information Systems : GIS) โดยข้อมูลต่างๆในเชิงพื้นที่ (Spatial Data) หรือ ภูมิสารสนเทศ (Geo-informatics) ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ จะประกอบด้วยข้อมูลทั้งทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ประชากร เศรษฐกิจ และสังคม รวมไปถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีระบบมาตรฐานกลางของข้อมูลใช้ร่วมกันทั้งประเทศ นอกจากนั้นจะยังได้มีการนำเอาภูมิสารสนเทศดังกล่าว มาวิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงบริหารจัดการพัฒนาชุมชนในแต่ละพื้นที่ลุ่มน้ำหลักของ แต่ละภูมิภาค โดยมีการบูรณาการทางด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ และสังคม รวมไปถึงการจัดการด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ร่วมกันอย่างยั่งยืนและเหมาะสมตามสถานการณ์ด้วย โดยผู้ที่สนใจทั่วไป ก็จะสามารถเข้าถึงได้ในรูปแบบการเรียกดูข้อมูลดิจิตอลดังกล่าวผ่านเครือข่าย ED-Net ทั้งในรูปแบบแผนที่ดิจิตอลแบบเสถียร (Static Maps) และแบบแผนที่แบบพลวัตร (Dynamic Map Server) ของศูนย์ข้อมูลของทบวงมหาวิทยาลัย และสามารถนำไปใช้ในเชิงวิชาการและการวิจัย ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ Online Content ของการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

จากตัวอย่างโครงการดังกล่าวข้างต้นที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เชิงพื้นที่ หรือระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) มาช่วยให้เกิดการบูรณาการข้ามศาสตร์อย่างเป็นพลวัตนั้น นอกจากจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เกิดจากความร่วมมือและการเข้ามามีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยทั้งหลายโดยมี ทบวงมหาวิทยาลัยที่เริ่มมีบทบาทมากกว่าผู้ประสานงานแบบเดิม มาเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ (Content Provider) และการจัดการเชิงบูรณาการ ที่จะก่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูล เทคโนโลยี และข่าวสาร ซึ่งถือเป็นกระบวนการในการสร้างความรู้โดยตรงอีกด้วย ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้าอาจารย์จากทุกมหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสเรียนรู้และทำการวิจัยร่วมกันโดยให้นิสิตมีโอกาสได้รับการถ่ายทอด หรือได้ร่วมในโครงการด้วยแล้ว องค์ความรู้ที่จะเกิดขึ้นที่มีการประยุกต์ควบคู่ไปกับแนวทฤษฎีสากลที่มีใน ตำราต่างประเทศ (ที่เราชอบแปลเขามาทั้งเล่ม) จะแตกต่างไปจากองค์ความรู้แบบเดิมๆที่เคยสอนกันมามากแค่ไหน และจะสามารถนำเอาองค์ความรู้แบบใหม่นี้ไปใช้ประโยชน์จริงในการพัฒนาชุมชน อย่างยั่งยืนได้มากขึ้นซักเท่าใด นับว่าเป็นเรื่องที่น่าติดตามยิ่ง

ภาพของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะการเข้ามาของรูปแบบการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E - learning นั้น ความแตกต่างกันในด้านของปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure) จะมีให้เห็นน้อยลงไปทุกขณะ (โดยเฉพาะความแตกต่างทางด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารหรือเนื้อหาวิชา) แต่จะยิ่งทวีความแตกต่างกันในความสามารถ ความถนัด หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไปจนถึงความได้เปรียบในทรัพยากรในท้องถิ่นที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นความแตกต่างทางด้านทักษะของบุคลากร และความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์ ซึ่งเอื้อต่อการเรียนรู้ในสาขาวิชานั้นๆ ซึ่งจะกลายเป็นภาพ (Brand) ของมหาวิทยาลัย ในสายตาของผู้บริโภค คือนักเรียน นักศึกษา (คงปฏิเสธไม่ได้ถึงปรากฏการที่ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างทางด้าน IT ต่างหลั่งไหลไปยัง Silicon Valley หรือบรรดาอุตสาหกรรมรถยนต์ต่างมุ่งหน้าไปยังดีทรอย์ และวงการแฟชั่นที่หลั่งไหลไปสู่ปารีส) ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเพียงเนื้อหา หรือข้อมูลข่าวสารที่ทางมหาวิทยาลัยป้อนให้กับนักศึกษานั้น ไม่ได้มีความแตกต่างกันอีกต่อไป จุดแตกต่างที่สำคัญจะอยู่ที่ ความรู้ (Knowledge) ซึ่งเป็นความรู้ในการเลือกใช้ข้อมูลข่าวสาร การวิเคราะห์ การตีความ และความรู้ในการนำข้อมูลข่าวสารไปใช้ประโยชน์ และการเข้าถึงแหล่งที่เป็นทรัพยากรในด้านต่างๆ ทั้งในด้านการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร ครู หรืออาจารย์ผู้สอนเป็นสำคัญ ซึ่งในอนาคตเนื้อหาหรือข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่ แทบทุกคนจะสามารถหาได้อย่างง่ายดายจากเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่าสารสนเทศที่ปลายนิ้ว (Information at Finger tips) ส่วนที่เหลือ ที่แตกต่างกันก็คือ ความรู้ในการนำสารสนเทศ (Information) และภูมิสารสนเทศ (Geo-informatics) ไปใช้ในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) ซึ่งเป็นพลังอำนาจในการบริหารจัดการที่แท้จริงนั่นเอง

สภาพการแข่งขันที่รุนแรงหลังจากการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่ผู้บริหารและบุคลากรในมหาวิทยาลัยทั้งหลายควรตระหนัก และเร่งทำการสำรวจตรวจตราทรัพยากรต่างๆ ที่ตัวเองมีอยู่กันอย่างขนานใหญ่ ทั้งในด้านบุคลากร หน่วยงาน งบประมาณ รวมไปถึงอาคาร สถานที่ หลักสูตรซึ่งบางครั้ง กระจัดกระจาย ไม่เป็นระบบ ขาดการผนึกกำลัง (Synergy) ร่วมมือกันพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งการร่วมมือกันภายในองค์กร และการร่วมมือกันระหว่างองค์กรพันธมิตร (Alliances) ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถสร้างเป็นจุดขาย หรือความเชี่ยวชาญหลักได้ ยังถือเป็นจุดอ่อนที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะแนวโน้มการขยายตัวขององค์กรในปัจจุบัน ที่พยายามลดไขมันหรือลดผลิตภาพส่วนเกิน จากการเป็นองค์กรขนาดใหญ่ (Big Organization)ที่อุ้ยอ้าย ไปสู่การเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ (Big Network) ที่กระฉับกระเฉงและทรงพลัง ซึ่งในยุคของ Information Technology ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) จะกลายเป็นเครื่องมืออันสำคัญ ที่จะช่วยเผยให้เห็นถึงรูปแบบ การกระจายตัวของทรัพยากรขององค์กรในด้านต่างๆ รวมไปถึงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ประชากร เศรษฐกิจ และสังคม ฯลฯ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ การเข้าถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว การวางแผนการใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างชาญฉลาด และเป็นพลวัต ซึ่งระบบเศรษฐกิจบนฐานแห่งความรู้ (Knowledge Economy) เฉกเช่นในปัจจุบัน ได้เปิดกว้างไว้ให้แล้วสำหรับสังคมแห่งความรู้ (Knowledge Society) ที่แพ้ - ชนะ ตัดสินกันด้วยความสำเร็จในการบ่มเพาะ การให้การศึกษากับเหล่าเยาวชน (นักเรียน นิสิต นักศึกษา) ที่เป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ ว่าใครจะทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน 




แอบเอาอะไรที่เกี่ยวๆกับการศึกษามาบ้าง (อาจจะเกี่ยวกับตัวเรานิดหน่อย ) ถ้าพัฒนาไปได้ถึงขนาดนั้นเมื่อไหร่มันคงจะสุดยอดแน่ๆเลย แต่ว่าในข้อดีก็ต้องมีข้อเสียอยู่แล้ว อะไรหลายๆอย่างมันคงขาดหายไปแน่ๆเลย >"<
ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปสู่โลกอนาคตกัน  แลดูสุดยอดจริงๆ 

ที่มา : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สมบัติ อยู่เมือง 
         ศูนย์วิจัยภูมิสารสนเทศเพื่อประเทศไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   
         http://www.gisthai.org/resource/article/infowith_campus.html




นางสาวปารณีย์   ลุ่มบุตร  ( แอมป์ )



วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตึกไร้มลพิษ ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

โดยตึกปลอดมลภาวะแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (The National Institute of Environmental Research : NIER) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอินชอน ทางตะวันตกของกรุงโซล สร้างขึ้นในพื้นที่ 2,500 ตารางเมตร ด้วยเงินลงทุนถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อตอบสนองแนวคิด Green Growth ของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ประกาศจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้ได้ 30 เปอร์เซ็นต์ภายในปี พ.ศ.2563

สำหรับแนวคิดของตึกแห่งนี้ก็คือ การเป็นตึกสำนักงานแห่งแรกของโลกที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และหวังจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ภายในตึกจึงเต็มไปด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ กว่า 66 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานความร้อนใต้ดิน, ฉนวนกันความร้อนประสิทธิภาพสูง, หลอดไฟแอลอีดี และม่านกันแดดอัตโนมัติ 

ทั้งนี้ ทางสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติตั้งเป้าว่า ตึกแห่งนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึงปีละ 100 ตัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาจากรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีที่วิ่งได้ระยะทางรวม 200,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว และทั้งหมดทั้งมวลนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ

"เราหวังว่าตึกปลอดมลพิษแห่งนี้จะเป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า ก๊าซคาร์บอนถูกปล่อยออกมาน้อยลง และนโยบาย Green Growth ก็จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนมีจิตสำนึกที่จะมาร่วมมือกันลดปรากฏการณ์เรือนกระจกมากขึ้น" นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทิ้งท้าย
http://www.clipmass.com/

อ้างอิงจาก www.cilpmass.com



นายวีระชัยบุญวิบูลวัฒน์  (Lee)

ว้าววว หาสัญาณตำแหน่งจากสายฟ้าแลบ

สักวันหนึ่งระบบนำทางด้วยดาวเทียมของเราจะพบเส้นทางโดยอาศัยสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบในที่ซึ่งห่างไกลมาก
ทั้งจีพีเอส และโลแรนต่างก็ระบุพิกัดตำแหน่งของเราด้วยสัญญาณวิทยุ แต่สัญญาณนี้ก็ยังอ่อนเกินไปที่จะทะลุผ่านลงไปใต้ดิน หรือแม้แต่เข้าไปในส่วนลึกของอาคาร
ตอนนี้หน่วยงานดาร์ปาพี่เบิ้มกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา กำลังทดสอบแนวความคิดที่จะใช้ลูกคลื่นวิทยุจากสายฟ้าผ่าแทน แหล่งดำเนิดสัญญาณวิทยุในบรรยากาศตามธรรมชาติหรือ sferics ซึ่งมีความถี่ต่ำมากๆ จึงทะลุลงไปใต้ดินหรือลงใต้น้ำลึกได้ หน่วยงานทหารให้ความสนใจกับสิ่งนี้มากเพราะว่าจะช่วยนำทางเมื่อเดินทางอยู่ในถ้ำ อุโมงค์ หรือนำทางให้เรือดำน้ำใต้ทะเลได้
เครื่องรับสัญญาณ S-BUG ของดาร์ปาตรวจจับคลื่นวิทยุที่เปล่งออกมาโดยสายฟ้าผ่าซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรได้ ซึ่งไม่ว่าในเวลาใดๆก็ตามจะมีพายุที่ยังไม่สลายตัวอยู่ประมาณ 2,000 ลูกกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก อุปกรณ์อีกตัวหนึ่งจะแจ้งตำแหน่งและเวลาอย่างแม่นยำเมื่อสัญญาณวิทยุเกิดขึ้นจากพายุ และหาพิกัดตำแหน่งของตัวเองได้
สเตฟานี ทอมคินส์ ผู้จัดการแผนงาน กล่าวว่า ดาร์ปา กำลังทดสอบเครื่องรับสัญญาณ S-BUG อยู่ ซึ่งเมื่อเครือข่ายรับสัญญาณจากฟ้าผ่าเข้าที่เข้าทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้เครื่องรับสัญญาณจีพีเอสเดิมก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องรับสัญญาณเครื่องใหม่ เพียงแค่ติดตั้งเสาอากาศ และซอฟต์แวร์ เพื่อปรับปรุงเครื่องให้รับสัญญาณจาก sferics แทน



ที่มา : นิตยสาร update ฉบับ 283 เมษายน 2554 (หน้า 67)

เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุระเบิดจากระยะไกล !!

เปิดโลกเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุระเบิดจากระยะไกล
โดยอาศัยหลักการทางสเปกโทรสโกปี

แนะนำเพื่อน ๆ ทุกคนให้ลองเข้ามาอ่าน
เพราะเทคนิคที่ใช้ทำอุปกรณ์นี้มันดูน่าทึ่งดี
เป็นความรู้ใหม่ ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักมาก่อน

ตาม link นี้ไปเลยยยย ย !!!~

http://www.neutron.rmutphysics.com/news/index.php?option=com_content&task=view&id=2336&Itemid=3

.
.
.

น.ส.สมฤทัย เจตเกษกิจ (มอมแมม) ^[++++++++]^

เดนมาร์ก ครองอันดับ1 ผู้ผลิตเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม

Roland Berger Strategy Consultants เผยผลการจัดอันดับประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมของโลกระบุ เดนมาร์ก ครองอันดับหนึ่งจากสัดส่วนจีดีพีของผลประกอบการที่ใช้กังหันลม และเทคโนโลยีสะอาดอื่นๆ ซึ่งมีสัดส่วน 3.1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี

ในขณะที่จีนมีสัดส่วนการเติบโตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมมาเป็นอันดับสอง หรือ 1.4เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แซงหน้าสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่อันดับที่17 โดยมีสัดส่วน0.3เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ขณะที่ประเทศ 5 อันดับแรกของผู้ผลิตเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมนอกเหนือจากเดนมาร์กและจีน ได้แก่ เยอรมัน บราซิล และลิทัวเนีย
.
.
.
.

ที่มา : http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=66754:-1&catid=177:2009-06-25-09-27-16&Itemid=525


น.ส.สมฤทัย เจตเกษกิจ (มอมแมม) 075

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กรีนอีคอมเมิร์ซ ช้อปออนไลน์หัวใจสีเขียว


กรีนอีคอมเมิร์ซ ช้อปออนไลน์หัวใจสีเขียว


เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ทั้งสภาพอากาศที่เลวร้ายผิดฤดูกาล ความรุนแรงของภัยแล้งและน้ำท่วมที่มากขึ้น มีสาเหตุหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผู้บริโภคทั่วโลกได้ปรับตัวหันมาใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือสินค้าสีเขียว (Green Products and Services) มากขึ้น สำหรับในโลกออนไลน์กระแสกรีนอีคอมเมิร์ซเริ่มมาแรงเช่นเดียวกัน

เว็บไซต์ชื่อดังอย่าง amazon.com รุกตลาดสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าแรก ๆ ตั้งแต่ปี 2550 โดยเปิดหน้าเว็บเฉพาะชื่อว่า Amazon Green รวบรวมและขายสินค้าที่ได้รับการรับรองประเด็นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต่าง ๆ เช่น สินค้าอินทรีย์ สินค้าที่รีไซเคิลได้ สินค้าที่ประหยัดพลังงาน สินค้าที่ประหยัดน้ำ โดยมีหมวดสินค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ ของใช้สำหรับเด็ก หนังสือและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ของขวัญ ของแต่งบ้าน สินค้ากีฬา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลคำแนะนำสำหรับผู้บริโภคเพื่อให้เห็นความสำคัญ สร้างความรู้ความเข้าใจ และเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคมายังสินค้าสีเขียวมากขึ้น ผลการสำรวจล่าสุดในเดือนเมษายน 2554 ที่ผ่านมาพบข้อมูลที่น่าตื่นเต้นมากว่า ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเว็บไซต์ amazon.com มากขึ้น โดยบางพื้นที่มีผู้ซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าสินค้าปกติ ซึ่งเป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าโลกออนไลน์พร้อมต่อการปรับตัวสู่กระแสกรีนอี คอมเมิร์ซ

ในฝั่งเอเชีย การประชุม เอเปกอีคอมเมิร์ซ (APEC e-Commerce Business Alliance & Analysys International) ในเดือนมีนาคม 2554 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ได้มีการหยิบประเด็นด้านการส่งเสริมอีคอมเมิร์ซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมา พูดคุยในวงกว้าง

โอกาสทางการตลาดของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยยังเปิดกว้างทั้งภาย ในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะภายในประเทศมีความต้องการมหาศาลจากภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รายงานจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 กำหนดให้ในปี 2554 หน่วยงานภาครัฐระดับกรมทั้งหมด จำนวน 170 หน่วยงาน ต้องเข้าร่วมดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวด ล้อม ซึ่งมูลค่าการจัดซื้อสูงหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละปี

กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ก็เป็นหน่วยงานแรก ๆ ของไทย ที่ได้เริ่มพัฒนาเว็บไซต์ที่รวบรวมสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวด ล้อมชื่อว่า www.thaiecomarket.com โดยจัดทำเป็นฐานข้อมูลเพื่อให้สืบค้นสินค้าหรือบริการ ตอบสนองความต้องการในการซื้อสินค้าของภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป เช่น กระดาษคอมพิวเตอร์ กระดาษชำระ กล่องใส่เอกสาร ซองบรรจุภัณฑ์ ตลับหมึก ปากกาไวท์บอร์ด ผลิตภัณฑ์ลบคำผิด สีทาอาคาร หลอดฟลูออเรสเซนต์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ เครื่องเรือนเหล็ก แบตเตอรี่ปฐมภูมิ แฟ้มเอกสาร หรือแม้กระทั่งบริการโรงแรมสีเขียว โดยอ้างอิงมาตรฐานสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคือ ฉลากเขียว โรงแรมใบไม้เขียว และผลิตภัณฑ์ Green Products (สัญลักษณ์ G) การสั่งซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ผู้บริโภคสามารถติดต่อโดยตรงกับผู้ผลิตตามหมายเลขโทรศัพท์ในฐานข้อมูล และผู้ประกอบการสามารถสมัครสมาชิกและส่งสินค้าของตนเข้าสู่เว็บไซต์ได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนว่าสินค้าหรือบริการนั้นต้องมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เคล็ดลับสำคัญของผู้ประกอบการที่จะก้าวสู่ตลาดกรีนอีคอมเมิร์ซ คือจะต้องมีใจรักสิ่งแวดล้อม มีความมุ่งมั่นที่จะผลิตหรือเสาะหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาขาย รวมถึงต้องมีความรู้ด้านมาตรฐานสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ความรู้เหล่านี้หาไม่ยากในอินเทอร์เน็ตหรือที่เว็บไซต์ www.thaiecomarket.com ของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็มีข้อมูลเช่นกัน

ในฝั่งของผู้บริโภคไม่เพียงแต่การเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่การ “ช้อปออนไลน์” ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย ผลการสำรวจของ Interactive Media in Retail Group (IMRG) พบว่า ผู้บริโภคในประเทศอังกฤษประมาณ 73% ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นกว่าปีก่อนถึง 25% คิดว่าการซื้อสินค้าออนไลน์ส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าซื้อสินค้าที่ร้านค้า เหตุผลหลักก็คือการซื้อสินค้าออนไลน์คือสะดวกและไม่ต้องเดินทางนั่นเอง

วันนี้ ทั่วโลกพร้อมสู่กระแส “กรีนอีคอมเมิร์ซ” แล้วคุณและเมืองไทยล่ะพร้อมหรือยัง.

พงษ์ชัย เพชรสังหาร

Credit : หนังสือพิมพ์ Dailynews


อันนี้เก๋มากค่ะ เราชอบ แนวดี อิๆๆ ห้ามพลาดนะ ถ้าใครที่ชอบซื้อสินค้าจากเว็บอเมซอน ใครหาหมวดหมู่ไม่เจอ คลิกอันนี้ได้เลย คลิกที่นี้นะจ๊ะ
ส่วนเว็บของไทยที่อยู่ในเนื้อหาแล้ว เราเห็นว่ายังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ :) เป็นแค่การสืบค้นข้อมูลเฉยๆ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ ลองใช้กันดู ^^


น.ส. รวิกร พูลศิริ 5215027 ค่ะ

'วินสตอล์ก'นวัตกรรมดักกระแสลม ไร้มลพิษ-ผลิตไฟแทนกังหัน


"พลังงานลม" ถือเป็นหนึ่งในพลังงานสะอาดที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในบรรดาประเทศผู้มีอันจะกิน เพราะลงทุนต่ำกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ แต่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ปริมาณมาก ทว่าเสียงบ่นจากประชาชนที่หนาหูขึ้นเรื่อยๆ คือ ผลกระทบด้านเสียงความถี่ต่ำ ตลอดจนทัศนียภาพที่ถูกทำลายไป เนื่องจากพื้นที่โล่งถูกยึดเต็มไปด้วยกังหันยักษ์

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว บริษัทอาเทเลีย ดีเอ็นเอ สัญชาติสหรัฐ เสนอต้นแบบนวัตกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าจากลมรุ่นใหม่ นามว่า "วินสตอล์ก" สำหรับเมืองมาสดาร์ เมืองไร้มลพิษในฝันแห่งอนาคตที่กรุงอาบูดาบี นครหลวงแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี

วินสตอล์ก ไม่มีใบพัด มีลักษณะเป็นเหมือนเส้นผมยักษ์เรียวยาว มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 30 เซนติเมตร และ 5 เซนติเมตรบนยอด สร้างขึ้นจากแท่งเรซินเสริมความแข็งแกร่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ 1,203 ชิ้นต่อหนึ่งเส้น สูง 55 เมตรจากพื้นดิน ตั้งตระหง่านอยู่บนฐานคอนกรีต เส้นผ่าศูนย์กลางราว 10-20 เมตร โดยบนยอดสุดของวินสตอล์กจะติดตั้งวัสดุเพียโซอิเลกทริกเซรามิก 1 คู่ ระหว่างเซรามิกดังกล่าว ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้าทั้งสองขั้ว แต่ละด้านมีสายไฟฟ้าลากยาวลงมาตามลำตัวเสา

เมื่อมีกระแสลมวินสตอล์กจะถูกพัดให้เคลื่อนไหวลู่ไปตามทิศทางลม ส่งผลให้จานเพียโซอิเลกทริกเซรามิกบนยอดเสาถูกบีบประกบกัน ก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้า โดยหากวินสตอล์กต้นใดกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าจะทำให้หลอดไฟแอลอีดีบนยอดเปล่งแสงสุกสว่างขึ้นมา

นอกจากนี้ วินสตอล์กแต่ละต้นยังได้รับการติดตั้งเครื่องสร้างทอร์กไว้ที่ฐานคอนกรีตด้านล่าง เพื่อแปลงพลังงานจลน์จากการเคลื่อนไหวของเสามาเป็นกระแสไฟฟ้าด้วย โดยผลงานการออกแบบดังกล่าวคว้ารางวัลรองชนะเลิศในการประกวดศิลปะเครื่องปั่นไฟบนพื้นดิน หรือ แอลเอจีไอ 2010 จัดขึ้นที่ยูเออี


ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEF5TVRFMU13PT0=%C2%A7ionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHhNUzB3TWc9PQ==

SONY เตรียมปล่อยทีวีไฮเทคเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม



SONY เดินหน้าการสร้างเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการบรรจุ micro-tubular Hot Cathode Fluorescent Lamp (HCFL) backlight ที่จะช่วยให้แอลซีดีทีวีของตนประหยัดพลังงานลงได้ถึงกว่า 40% แต่ยังคงคุณภาพการแสดงผลได้ดีเช่นเดิม แถมด้วยเซนเซอร์ตรวจจับพลังงานความร้อนจากตัวคน ใช้ปิดจอเวลาไม่มีคนอยู่หน้าเครื่อง

ครั้งแรกของโลกกับ micro-tubular Hot Cathode Fluorescent Lamp (HCFL) backlight เทคโนโลยีที่จะบรรจุลงในแอลซีดีทีวี Bravia WE5 ของ SONY ที่จะวางจำหน่ายในปี 2011 โดยที่ HCFL แบลคไลท์จะช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 40-50% เพราะจะสามารถตรวจสอบสภาพแสดงภายในห้องที่เราใช้ดูทีวีอยู่ได้ และปรับสภาพความสว่างตามสภาพแสงของห้องนั้นๆ นอกจากนั้นยังมีการประหยัดพลังงานด้วย Presence sensor เซนเซอร์ที่จะคอยตรวจจับพลังงานความร้อนจากร่างกายมนุษย์เพื่อตรวจสอบว่ามีคนอยู่หน้าเครื่องทีวีหรือไม่ เพื่อปิดการทำงานของหน้าจอทีวีเมื่อไม่มีคนดูทีวีอยู่ และในอนาคตจะนำเอาเทคโนโลยีการรู้จำใบหน้า (facial recognition) และการตรวจจับการเคลื่อนไหว (motion sensor) มาใช้อีกด้วย เพื่อเพิ่มความสามารถในการประหยัดพลังงานให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทีวีสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ที่อยู่หน้าจอกำลังหลับอยู่ ก็จะปิดเครื่องหรือหน้าจอทันที

นั่นหมายความว่าอีกหน่อยใครที่ชอบหลับเวลาดูทีวี ทีวีก็จะช่วยดูเรา แล้วก็ปิดตัวเอง เพื่อช่วยเราประหยัดพลังงานนั่นเอง


ที่มา http://www.itstation.tv/?q=node/739

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดาวเทียม SMOS

ยุโรป ก้าวหน้าใช้ดาวเทียม smos ตรวจสอบความชื่นของดินและความเค็มของน้ำทะเล
ดาวเทียมดวงนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและ ประมวลผลได้ดี เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจกระบวนการและสภาวะอากาศโลกได้ดีขึ้น
เข้าไปดูได้ที่นี่เลย
v
v
v
http://news.impaqmsn.com/articles.aspx?ch=fr1&id=292156

น.ส.ศิริรัตน์ ฉัตณธีรภาพ (มุก)

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

PointAsia (โปรแกรมภาพถ่ายดาวเทียมที่ดีกว่า,ชัดกว่า Google Earth พัฒนา โดยคนไทย)

PointAsia (โปรแกรมภาพถ่ายดาวเทียมที่ดีกว่า,ชัดกว่า Google Earth พัฒนา โดยคนไทย) : โปรแกรมนี้คือ โปรแกรมแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม ในลักษณะเดียวกันกับ Google Earth เพียงแต่ โปรแกรม PointAsia มีความคมชัดสูงกว่า มีรายละเอียดมากกว่า เพราะได้ถูกเจาะจง เข้ามาที่ประเทศไทยที่เดียว และที่สำคัญ โปรแกรมตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยคนไทย เพื่อใช้งานโดยคนไทยโดยเฉพาะ ...


การใช้งานอาจไม่หลากหลายมากนัก....แต่หากมีการพัฒนาต่อไป ก็น่าสนใจดี


เครดิต http://www.thaiware.com/


นางสาวณัฎฐวี ตาสกุล (แจน)

แนวทางการบริหารจัดการพิบัติภัยจากน้ำท่วมในเชิงพื้นที่ระดับลุ่มน้ำหลักและลุ่มน้ำย่อย อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล ที่ทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม

     เอาโปสเตอร์แนวทางการบริหารจัดการพิบัติภัยจากน้ำท่วมในเชิงพื้นที่ระดับลุ่มน้ำหลักและลุ่มน้ำย่อยอย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล ที่ทั่วถึง เท่าเทียมอละเป็นธรรม  จากงานประชุมวิชาการ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ประจำปี 2553 (GeoInfotech 2010) มาฝาก
     เค้าเอาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( Geographic Informayic System : GIS ) และเทคโนโลยีภาพจากดาวเทียมมาจัดทำฐานข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ คาดการณ์แล้วทำแบบจำลองในการจัดการกับปัยหาน้ำท่วมในพื้นที่ราบลุ่มที่เกิดขึ้นเสมอ ให้รายละเอียดดีมากเลยแล้วก็น่าสนใจมากด้วย





ใครอยากดูแบบชัดๆ ก็ตามไปดูได้เลย
 โปสเตอร์แผ่นที่ 1
 โปสเตอร์แผ่นที่ 2
 โปสเตอร์แผ่นที่ 3
 โปสเตอร์แผ่นที่ 4

ที่มา : http://www.gisthai.org

นางสาวปารณีย์  ลุ่มบุตร  ( แอมป์ ) >"<



วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อุปกรณ์มือถือล่องหน สุดเจ๋ง

ทางวันหนึ่งเราสามารถใช้แค่ฝ่ามือสั่งงานมันล่ะ
สั่งงานสิ่งต่างๆๆโดยใช้แค่ฝ่ามือ
ไม่จำเป็นต้องมีสาภาระ จะดีแค่ไหนถ้าเป็นอย่างนั้น
ลองดูนะ
http://www.clipmass.com/
ถ้าวันหนึ่งเป็นจริงนักสารสนเทศสิ่งแวดล้อมอย่างเรา
คงนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่เดียว
ที่มา www.clipmass.com

วีระชัย บุญวิบูลวัฒน์ (Lee)

GPS ทำให้สมองเสื่อม?

GPS ทำให้สมองเสื่อม?


เพื่อนๆได้ทราบกันแล้วว่า GPS นั้นมีประโยชน์ในหลายๆด้าน
แต่นอกจากประโยชน์แล้ว GPS ยังมีโทษอีกด้วย...

เมื่อนักวิจัยค้นพบความสัมพันธ์ว่า
ผู้ที่ใช้สมองในการบอกเส้นทางด้วยวิธีที่คล้ายกับการนำทางด้วยอุปกรณ์ GPS
มีการทำงานของสมองฮิปโปคมปัสน้อยลง

เวโรนีค โบห์บอต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวช มหาวิทยาลัยแม็กกิลล์และคณะ
ได้ทำการศึกษาผลกระทบ GPS ต่อสมองคน ก็พบว่าผู้ใช้ระบบ GPS มีความเสี่ยง
สูงมากกว่าปกติที่จะเกิดปัญหาด้านการจัดตำแหน่งและความจำ
โดยเริ่มแรกนักวิจัยศึกษาถึงวิธีที่มนุษย์ใช้ในการนำทางและพบว่ามีการเดินทางหลักสองวิธีคือ

วิธีการนำทางแบบสังเกตตำแหน่ง โดยคนเราจะใช้สถานที่ต่างๆเป็นจุดสังเกต
และสร้างเป็นแผนที่รับรู้ในใจ เช่น ถ้าคนหลงทางก็จะมีการคาดเดาเส้นทางต่างๆโดยการจำตึกหลักๆ
เป็นจุดสังเกต โดยไม่ต้องอาศัยแผนที่ทางกายภาพหรือระบบ GPS เลย

วิธีการนำทางแบบการะตุ้นและตอบสนอง โดยวิธีนี้จะเป็นวิธีที่คล้ายกับการใช้ระบบการบินแบบอัตโนมัติ
ซึ่งไปถึงเป้าหมายโดยการปฏิบัติซ้ำๆ เช่น เส้นทางที่เรากลับบ้านเป็นเส้นทางเดิมๆทุกวัน
ซึ่งวิธีนี้คล้ายกับกับการใช้ GPS ในการนำทาง

จากการศึกษาพบว่า...
คนวัยหนุ่มสาวนิยมใช้วิธีนำทางแบบสังเกตตำแหน่ง ส่วนคนสูงอายุจะนิยมใช้วิธีเลียนแบบระบบ GPS มากกว่า จากนั้นคณะวิจัยให้อาสาสมัครเดินทางไปตามถนนโดยอาศัยวิธีใดวิธีหนึ่งข้างต้น แล้วทำการถ่ายภาพการทำงานของสมอง นักวิจัยพบว่า...ผู้ที่ใช้วิธีการนำทางแบบการสังเกตตำแหน่ง มีการทำงานของสมองในส่วนฮิปโปแคมปัสเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่งและความจำ ในอีกด้านหนึ่งผู้ที่ใช้การนำทางเลียนแบบ GPS มีโอกาสเสี่ยงที่สมองบริเวณฮิปโปแคมปัสฝ่อลงได้

และทางคณะวิจัยยังได้ทำการทดสอบการรับรู้กับอาสาสมัครเพื่อตรวจหาความเสื่อมก็พบว่า...
อาสาสมัครที่ใช้วิธีการนำทางแบบ GPS ได้คะแนนสูงกว่า อย่างไรก็ตามในการายงานการศึกษาก็ระบุไว้ว่า
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า วิธีนำทางแบบสังเกตตำแหน่งนั้นเป็นการพัฒนาสมองในส่วนฮิปโปแคมปัสหรือสมองบริเวณฮิปโปแคมปัสที่ยังคงทำงานได้ดีนั้นจะเป็นตัวกระตุ้นให้คนนั้นใช้วิธีนำทางแบบสังเกตตำแหน่งหรือไม่ นักวิจัยก็ไม่ได้แนะนำให้เลิกใช้ระบบ GPS เสียทีเดียว แต่การสร้างแผนที่ขึ้นในจิตใจของเราเองโดยไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีช่วยพัฒนาความจำในระยะยาวก็เป็นได้






ที่มา : นิตยาสาร update ฉบับเดือนกุมภาพันธุ์ ๑๕๕๔





นางสาวชนันญา ผลสันต์ (มีน)

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เกาหลีใต้ เมืองอัจฉริยะแต่ไม่ละทิ้งสิ่งแวดล้อม

เกาหลีใต้ เมืองอัจริยะแต่ไม่ละทิ้งสิ่งแวดล้อม

เกาหลีใต้ เป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีความก้าวหน้าในระดับสูง ปัจจุบันเกาหลีใต้กำลังพัฒนาการวางผังเมืองใหม่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ แต่ยังคงไว้ในด้านสภาพแวดล้อมของพื้นที่สีเขียว โปรเจคใหญ่ครั้งนี้เป็นเช่นไรบ้าง ติดตามชมกัน จากรายการ ทันโลก

ทันโลก เกาหลีใต้ เมืองอัจฉริยะ

http://youtu.be/D_qDLbTeSjY

Credit : http://www.khemtid.com/koreawow/



ล่าสุดเกาหลีใต้สร้างอาคารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พอดีพึ่งฟังข่าวในวิทยุเมื่อกี้นี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับสารสนเทศนิดหน่อย :) เก๋มากอ่ะ อยากให้ได้ดูกัน

http://news.voicetv.co.th/technology/12162.html



น.ส. รวิกร พูลศิริ 027 ค่ะ


นักวิทยาศาสตร์จีน ใช้ระบบ GPS ติดตามเฝ้าดูแพนด้าในป่าลึก

นักวิทยาศาสตร์จีนได้ใช้ระบบ GPS เพื่อติดตามศึกษาพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของแพนดายักษ์ในป่าลึก
ในโครงการร่วมกันระหว่างสถาบันสัตววิทยาของจีนและสหรัฐฯ ด้วยงบประมาณกว่า 30 ล้านบาท เพื่อใช้ระบบดาวเทียม GPS (Global Positioning System) เพื่อติดตามแพนด้ายักษ์และพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของมันในป่าลึกของแหล่งธรรมชาติสงวนกลางจังหวัดเชียงสี
"การเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกมันด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและการเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมการผสมพันธู์ของมันอาจช่วยให้เราสามารถหาวิธีช่วยไม่ให้พวกมันสูญพันธุ์" เว ฟูเวน หนึ่งในนักวจัยที่ สถาบันสัตววิทยาแห่ง ของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติของจีน กล่าว "เราไม่สามารถเฝ้าติดตามพฤติกรรมแพนด้ายักษ์ได้นานมากนักและการสังเกตุด้วยวิธีการเก่าๆไม่สามารถช่วยไขความลับเชิงนิเวศวิทยาอย่างสัตว์อย่างแพนด้าได้"
ณ เวลาปัจจุบัน หมีแพนด้าในป่าได้เริ่มจะอยู่ในระดับปลอดภัยจากการสูญพันธุ์ แต่ว่า นั่นก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย ทั้งนี้เนื่องมาจาก หมีแพนด้าสามารถผลิตเจ้าตัวน้อยออกมาได้น้อยมาก กว่า 80 เปอร์เซนต์ของหมีแพนด้าตัวเมียที่ไม่สามารถตั้งท้องได้ และกว่า 90 เปอร์เซนต์ของหมีแพนด้าตัวผู้ที่เป็นหมัน สำนักข่าวซินหัวของจีนกล่าว มีหมีแพนด้าเพียง 1,600 ตัวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในป่า ส่วนใหญ่ในป่าสูงปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบบนภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ในตัวจังหวัดเสฉวน แพนด้ากว่า 150 ตัวอยู่ในการดูแลของมนุษย์


สามารถเข้าดูได้ที่ http://www.classifiedthai.com/content.php?article=8384
อ้างอิงจากเว็บ www.cnn.com


นางสาวศิริพร ศรีอำนาจ (ออย) ^^


วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Wii U เครื่องเล่นเกมใหม่!!! (ขอโทษด้วยถ้ามันไม่เกี่ยว)

อาจจะไม่เกี่ยวเท่าไหร่แต่เพื่อนๆดูกันก่อนแล้วกัน
รายระเอียดเครื่อง Wii U (ตาม link ไปน้า~)
http://www.gconsole.com/cgi-bin2/show.php?page=news&id=10856
(จริงๆอยาก Copy มาบางส่วนง่าแต่มัน Paste ไม่ได้ T^T)
เราคิดว่าถ้านำมาพัฒนาในด้านนี้ จะทำให้เราสามารถสร้างโมเดลได้ง่ายและรวดเร็ว
เช่น เรารวบรวมข้อมูลของแม่น้ำสายหนึ่ง ปริมาณน้ำ ความเร็ว ทิศทาง แล้วลองมาสร้างแบบมีอะไรมาขวางก็จับมันลากๆลงไปในโมเดลของแม่น้ำเปล่าๆ แล้วมันก็จแสดงทิศทางการไหล หรือ ลักษณะต่างๆของแม่น้ำที่โดนสิ่งขีดขวางอะไรประมาณเนี้ย

ถ้าเพื่อนๆคิดเห็นว่าอย่างไรก็ลองเสนอมาละกัน หรือสงสัยอะไรก็ถามได้น้า~
(ที่นำมาลงไม่รู้ว่าสามารถใช้ได้หรือเปล่า เพราะแต่ละคนวิชาการมากๆ)
ขอความกรุณาด้วยนะงับ //me โค้ง( . . )






น.ส. ปภาวรินท์ รื่นปาน (MyMint)

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Theos ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทย

ประเทศไทยเรามีดาวเทียมสำรวจทรัพยากร แล้วนะ

เข้าไปดูได้เลยที่นี่ http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=15008&mul_source_id=027107


น.ส. ศิริรัตน์ ฉัตรธีรภาพ (มุก)

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รับมือโลกร้อนด้วยภาพถ่ายดาวเทียม

สทอภ.ตั้งธงประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม วางแผนรับมือโลกร้อน จัดการพิบัติภัยจากธรรมชาติ ยอมรับไทยเป็นน้องใหม่ด้านเทคโนโลยีดาวเทียม

ดร.ธงชัย จารุพพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทอภ. เปิดเผยว่า สำนักงานร่วมมือกับหน่วยงานที่ใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายดาวเทียม เช่น กรมแผนที่ทหาร สมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย สมาคมธรณีวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมขนส่งและจราจรอัจฉริยะไทย เผยแพร่ความก้าวหน้าเทคโนโลยีดาวเทียมของไทย หลังจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกของประเทศไทย หรือ ธีออส ขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2551 โดยหวังให้เกิดการใช้งานที่แพร่หลายมากขึ้นในอนาคต

การประยุกต์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเป็นเรื่องสำคัญ โดยขีดความสามารถของดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อนำมาปรับใช้จะก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน โดยเฉพาะการจัดการภัยพิบัติ และรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็น การจัดการด้านการเกษตร สิ่งแวดล้อมและป่าไม้

"ภาพถ่ายดาวเทียมสามารถใช้วางแผนรับมือความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ดิน ปริมาณฝน จัดการพื้นที่ป่าไม้ ทรัพยากร เพื่อรับมือและแก้ปัญหาภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น" ดร.ธงชัย กล่าวในการประชุมวิชาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ประจำปี 2551 หัวข้อ "รับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ"

ดร.ดาราศรี ดาวเรือง รองผู้อำนวยการ สทอภ. กล่าวเสริมว่า การพัฒนาดาวเทียมทั่วโลกเน้นเพื่อ 4 จุดประสงค์หลัก ได้แก่ การสำรวจภาคพื้นดิน มหาสมุทร ชั้นบรรยากาศ และปริมาณฝน สำหรับดาวเทียมธีออสของไทยสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในเรื่องการสำรวจภาคพื้นดิน คาดว่าการประยุกต์ใช้งานจะแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ช่วยประมวลผลภาพถ่ายดาวเทียม ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญ หากไม่มีซอฟต์แวร์จำแนกภาพถ่าย จะไม่สามารถใช้ประโยชน์ภาพถ่ายดาวเทียม ด้วยเหตุนี้ สทอภ.จึงสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักเรียน นักศึกษารวมถึงนักวิจัย เพื่อพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปที่ช่วยเพิ่มรูปแบบการใช้งานได้หลากหลายขึ้น คาดว่าจะเห็นผลได้ภายใน 3 - 5 ปี

"ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังเป็นน้องใหม่ ในเรื่องเทคโนโลยีดาวเทียมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย หรือแม้แต่จีน ซึ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดาวเทียมค่อนข้างมาก แต่ประเทศไทยก็พยายามพัฒนาศักยภาพของตัวเอง พร้อมกับประสานความร่วมมือกับนานาชาติไปพร้อมกันด้วย" รองผู้อำนวยการ สทอภ. กล่าว


เครดิต: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/it/science/20090121/8976/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1.html


นางสาวณัฎฐวี ตาสกุล (แจน)