ศึกชิงทรัพยากร.... ที่ทะเลจีนใต้

ทหารเวียดนามสังกัดกองทัพเรือฝึกยิงปืนกลหนัก 12.7 มม. บนเกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะสแปรตลี ระหว่างการซ้อมรบใหญ่เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. จนสถานการณ์ในทะเลจีนใต้เกิดความตึงเครียด หลายฝ่ายเกรงว่าจีนจะตอบโต้ด้วยกำลังทางทหารเหมือนในอดีต.
ปัญหาหนักอกในภูมิภาคอาเซียนขณะนี้คงหลีกหนีไม่พ้นเรื่องข้อพิพาทเขตแดน เพราะไม่ได้มีเรื่องของ “ไทย–กัมพูชา” อย่างเดียว แต่มีเรื่องของ “เวียดนาม” เพิ่มมาด้วย
แถมคู่กรณีเรียกได้ว่าน่าเกรงขามสุดๆ มิใช่ใครอื่นไกล “สาธารณรัฐประชาชนจีน” หนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลก
โดยประเด็นที่ 2 ฝ่ายกัดกันเป็นเรื่อง “เก่าเก็บ” มานานเกือบศตวรรษที่จนบัดนี้ก็ยังหาทางออกไม่ได้ คือเรื่องสิทธิในการครอบครองหมู่เกาะพาราเซล และหมู่เกาะสแปรตลีในทะเลจีนใต้
เหตุการณ์กลับมาตึงเครียดในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังเวียดนามกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลของเรือที่ใช้ในการสำรวจค้นหาน้ำมันบริเวณหมู่เกาะพิพาทด้วยการใช้เรือประมงพุ่งชน ขณะที่จีนก็แถลงการณ์ตอบโต้ระบุเป็นเพียงอุบัติเหตุ แหของเรือประมงเกิดไปพันกับสายเคเบิล พร้อมชี้ว่า “เวียดนามควรหยุดพฤติกรรมรุกรานอธิปไตยของจีน”
ประโยคท้ายนี่เองที่ทำให้เวียดนามฉุนขาด จัดการซ้อมรบทางยุทธนาวีขนานใหญ่ในน่านน้ำของตนและในพื้นที่หมู่เกาะพิพาท ช่วงวันที่ 13-14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายฝ่ายที่จับตาสถานการณ์ใกล้ชิดถึงกับหนาวสะท้านไปตามๆกัน เพราะพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการ “ท้าทาย” จีนตรงๆ มีสิทธิที่จะถูกตอบโต้สูง
ทั้ง 2 ฝ่ายเคยรบกันอย่างดุเดือดในพื้นที่หมู่เกาะพิพาทมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยในปี 2517 กองกำลังปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ส่งกองเรือเข้าครอบครองบริเวณทิศตะวันออกหมู่เกาะพาราเซล ทำให้ปะทะกับกองทัพเรือของเวียดนาม
ผลลัพธ์ที่ออกมาคือจีนได้รับชัยชนะ จมเรือลาดตระเวนเวียดนามได้ 1 ลำ ยิงเสียหายหนักอีก 3 ลำ มีทหารเวียดนามถูกสังหาร 53 นาย บาดเจ็บ 16 นาย ถูกจับกุม 48 นาย ขณะที่เรือรบของจีนได้รับความเสียหาย 4 ลำ มีทหารเสียชีวิต 18 นาย
และศึกใหญ่ในวันที่ 14 มีนาคม 2531 บริเวณเกาะจอห์นสัน เซาธ์ รีฟ ในหมู่เกาะสแปรตลี กองทัพเรือเวียดนามส่งเรือขนส่งติดอาวุธ 2 ลำ ขนทหารไปปักธงอ้างสิทธิการครอบครองเกาะดังกล่าว ทำให้ถูกเรือพิฆาตที่จีนส่งมายับยั้งจำนวน 3 ลำ เปิดฉากโจมตีใส่ ผลคือทหารเวียดนามเสียชีวิตมากกว่า 70 นาย ถูกจับกุม 40 นาย ขณะที่เรือขนส่งก็ถูกยิงจมกลายเป็นปะการังเทียมใต้ทะเล
อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์ตึงเครียดครั้งใหม่นี้ แม้รัฐบาลจีนจะโชว์ซ้อมรบคืนบ้าง แต่ก็ใช้วิธีทางการทูตเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยนายหง เล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกมายืนยันว่าจะไม่ข่มขู่หรือใช้กำลังทางทหาร ขอให้ทุกฝ่ายกระทำการที่จะช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งทางรัฐบาลเวียดนามก็ไม่ออกมาตอบโต้แต่ประการใด สถานการณ์จึงเริ่มผ่อนหนักเป็นเบา

เส้นที่ขีดยาวในทะเลจีนใต้คือพื้นที่ทางทะเลที่ประเทศจีนอ้างสิทธิใน การครอบ ครอง โดยครอบคลุมทั้งหมู่เกาะพาราเซล (1) และหมู่เกาะสแปรตลี (2)
ทั้ง นี้ ปัญหาข้อพิพาทหมู่เกาะดังกล่าว ทางสหประชาชาติ (UN) เคยพยายามเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้เมื่อปี 2525 มีการร่างพิธีสารขึ้นมาเรียบร้อย แต่สุดท้ายก็ทำให้ประเทศอื่นๆในบริเวณทั้งฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน ต่างเข้ามาร่วมอ้างสิทธิในการครอบครองมากกว่าเดิม ขณะที่คู่กรณีเวียดนาม-จีน ก็ไม่ฟังเสียงภายนอก พร้อมยกประเด็นประวัติศาสตร์มาเถียงกันเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง โดยเวียดนามระบุว่าตนเป็นเจ้าของหมู่เกาะพาราเซลและสแปรตลีมาตั้งแต่ศตวรรษ ที่ 17 หรือกว่า 400 ปีก่อน จีนเพิ่งจะมาเขียนแผนที่อ้างการครอบครองเมื่อปี 2490 ส่วนจีนก็อ้างยาวไปว่าหมู่เกาะดังกล่าวเป็น
ส่วนหนึ่งของประเทศตนตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน
ทำไม หมู่เกาะดังกล่าวโดยเฉพาะสแปรตลี ที่พื้นที่ส่วนมากเป็นแนวปะการังและสันทรายโผล่เหนือน้ำทะเลมานิดเดียว จึงกลายเป็นปมขัดแย้งถึงขั้นต้องฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงมา...คำตอบคือ “ทรัพยากรธรรมชาติ”
สำนักงานด้านข้อมูลทางพลังงานแห่งชาติสหรัฐฯ (EIA) ประมาณการไว้ว่าหมู่เกาะอาจเป็นแหล่งขุมทรัพย์มี“ทองคำสีดำ” หรือน้ำมัน ซุกซ่อนอยู่มากถึง 28,000 ล้านบาร์เรล ขณะที่ก๊าซธรรมชาติก็อาจมีสูงถึง 25 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร เทียบเท่ากับแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองของประเทศ “กาตาร์” ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ส่วนจีนประเมินไว้เหนือกว่านั้นเยอะ โดยคาดว่ามีน้ำมันมากถึง 213,000 ล้านบาร์เรล มากกว่าแหล่งน้ำมันสำรองของ “สหรัฐอเมริกา” ถึง 10 เท่าตัว
ด้วยประการฉะนี้จึงค่อนข้างแน่นอนว่า วันใดวันหนึ่งสถานการณ์ก็จะกลับมาตึงเครียดดังเดิม ตราบใดที่มีปัจจัยดังกล่าวเป็นเดิมพัน
เหมือน กับกรณีพิพาทไทย–กัมพูชา ที่ฝ่ายหลังหมายมั่นปั้นมือจะเอาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณพรมแดนให้ได้ เพราะหากทำสำเร็จก็ต้องมีการตีเส้นเขตแดนทางทะเลกันใหม่ เท่านั้นแหละก็จะได้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยไปอื้อซ่า
ปล. เราว่ามันเกี่ยวข้องกับวิชาสำรวจระยะไกลนะ
Credit : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐค่ะ วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2554 (สดๆร้อน)
นางสาว รวิกร พูลศิริ 027 ค่ะ