สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยู่ในขั้นตอนการศึกษาพื้นที่ที่สามารถพร้อมพัฒนาโครงการก๊าซชีวภาพ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณทางฝั่งตะวันตกของภาคใต้แถบกระบี่ ตรัง พังงา ขานรับกับ สนพ.เร่งผลักดันการพัฒนาระบบผลิตก๊าซชีวภาพอัด (Compress Bio Gas) หรือ CBG ที่สามารถผลิตได้จากทรัพยากรเหลือทิ้งอย่างพืช ผัก มูลสัตว์ นำมาผ่านกระบวนการหมักให้ได้ก๊าซชีวภาพ เพื่อนำมาใช้ทดแทนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ในพื้นที่ห่างไกลแนวท่อก๊าซ และยังสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งได้ด้วย โดยก่อนหน้านี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับบริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบนท์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ UAC ลงทุนผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ที่มีกำลังผลิต 6.5 ตัน/วัน และขณะนี้ สนพ.เข้าไปสนับสนุนการวิจัยอีกทาง ด้วยการนำพืชพลังงานประเภทโตเร็ว เป็นพืชในตระกูลไจแอนท์คิงกลาส กลุ่มหญ้าขนาดใหญ่และโตเร็ว ได้แก่เนเปียร์ บาน่า มาทดลองหมักเป็นก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าและความร้อนได้ รวมทั้งระยะเวลาใน 2 ปีข้างหน้า จะมีการพัฒนาไปสู่ระบบก๊าซชีวภาพอัดต่อไปด้วยสำหรับหญ้าบาน่ามีการปลูกอยู่ในไทย ใช้เป็นอาหารช้าง เมื่อนำมาผลิตก๊าซชีวภาพอัด จะมีต้นทุนอยู่ที่ 16.50 บาท/กิโลกรัม ถูกกว่าต้นทุนจำหน่ายก๊าซเอ็นจีวีในพื้นที่ห่างไกล ที่คำนวณไว้ตลอด 6 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 สนพ.ผลิตก๊าซชีวภาพได้เป็นมูลค่า 3,746 ล้านบาท/ปี จำนวน 700 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี หรือ 2.14 แสนตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ ด้วยวิธีส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ มูลสัตว์ และเศษอาหาร แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการพัฒนาโครงการระบบผลิตก๊าซชีวภาพอัดว่า ผลจากการศึกษาพื้นที่เหมาะสมขณะนี้มี 3 จังหวัด คือสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และพังงา ซึ่งยังอยู่ระหว่างเจรจากับโรงงานผลิตปาล์มน้ำมัน เพื่อรับซื้อผลปาล์มที่เหลือทิ้งทั้งหมด นำมาผ่านกระบวนการให้เกิดเป็นก๊าซชีวภาพ และนำไปใช้ในรถยนต์ หวังผลสำเร็จในการลดต้นทุนการขนส่งก๊าซเอ็นจีวีไปภาคใต้ และเป็นวิธีนำทรัพยากรเหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบัน ต้นทุนผลิตก๊าซธรรมชาติจริงอยู่ที่ 14 บาท/กิโลกรัม แต่รัฐบาลให้คงราคาขายไว้ที่ 8.50 บาท โดยให้ ปตท.รับภาระส่วนต่างไว้ควบคู่กับแผนขยายสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีต่อไปตามเป้า 500 แห่ง ในบริเวณพื้นที่ห่างไกลแนวท่อบางแห่งต้องใช้วิธีขนส่งโดยรถบรรทุก ระยะทางยิ่งไกลต้นทุนยิ่งเพิ่ม ถ้าหันมาทำก๊าซชีวภาพอัด จะเป็นทางออกที่ดีเรื่องต้นทุนและบริการมีรายงานจากกระทรวงพลังงานว่า ขณะนี้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือเอ็นจีวีเพิ่มต่อเนื่อง 6,000 ตัน/วัน ส่งผลให้บางพื้นที่อาจมีปัญหาปริมาณก๊าซขาดแคลนบางช่วง จึงต้องหาวิธีผลิตก๊าซธรรมชาติอัดป้อนความต้องการในพื้นที่ห่างไกลให้เร็วที่สุด
วริยา ตั้งก่อเกียรติกุล 5215029
วริยา ตั้งก่อเกียรติกุล 5215029
ขอบคุณที่มา
ตอบลบhttp://www.teenet.chula.ac.th/modulepage.php?module=news&pg=newsdetail&nid=242
พลังงานใหม่ CBG ต้นทุนถูกลง แต่การใช้งานจะดีระดับไหนกันนะ ก็คอยดูต่อไป แต่ก็เป็นพลังงานทางเลือกอีกอย่างหนึ่ง ที่ใช้ของเหลือทิ้งให้มปะโยชน์ได้อีกต่อหนึ่ง
ตอบลบว่าแต่ มันต่างกับก๊าซธรรมชาติที่เราใช้ๆกันอยู่ยังงัย หรือแค่เอามาอัดเท่าั้นั้น
เป็นโครงการที่ดีมาก เพราะในปัจจุบัน เชื้อเพลิงน้ำมันลดน้อยลง ราคาแพงขึ้น คนหันมาใช้ก๊าซธรรมมชาติกันมาก และถ้าเป็น อย่างนี้ต่อไป ก๊าซธรรมชาติก้จะลดน้อยลงและหมดไปเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่จะมีการใช้พลังงานทดแทน แะมีต้นทุนต่ำ แต่ก้ต้องมีคุณภาพด้วย และมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการบริโภค
ตอบลบการทำพลังงานในรูปแบบนี้เหมือนทำพลังงานในรูปแบบถ่าน ใช่มั้ย ?
ตอบลบแต่ยังไงก็ดีพลังงานเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป ไม่ว่าจะทดแทนด้วยวิธีไหน
ยังไงถ้าผลลัพธ์ คือการไม่ทำลายธรรมชาติ เท่านี้ฉันก็โอเคคคค