วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ระบบความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฝรั่งเศส

กระแสต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย ที่หลายฝ่ายมีความกังวลถึงโอกาสเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยตรงกัน ส่งผลให้น.ส.สุจินดา โชติพานิช ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) พร้อมด้วยนายศิริชัย เขียนมีสุข เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) นำคณะทำงานและสื่อมวลชนเดินทางไปดูงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โนช็อง ซูร แซน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส หรือ อีดีเอฟ (EDF) ที่เมืองทรัว สาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อศึกษาความพร้อมในการก่อสร้าง และมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ

นายเอลิอ็อง โบ ซาร์ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าในช็องซูร แซน อธิบายว่า โรงไฟฟ้าแห่งนี้แม้จะตั้งอยู่ห่างจากกรุงปารีสไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 120 กิโลเมตร แต่หากเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจริง นอกจากจะส่งผลกระทบต่อคนในชุมชนละแวกนี้แล้ว ยังส่งผลไปทั่วประเทศ ดังนั้น อีดีเอฟจึงมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบสารรั่วไหล ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งผ่านมาไม่เคยเกิดปัญหาในลักษณะนี้เลย

โรงไฟฟ้าโนช็อง ซูร แซน เป็น 1 ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 20 แห่ง ที่ถูกสร้างทั่วสาธารณรัฐฝรั่งเศสโดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีกำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ ใช้เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าที่เรียกว่า ระบบ PWR หรือ ระบบน้ำมวลเบาเป็นการอาศัยไอน้ำในการปั่นกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ร้อยละ 4 ของทั้งประเทศถือเป็นทางเลือกของวิกฤตพลังงานในขณะนี้ แต่ต้องยอมรับว่า ปัญหาการยอมรับของภาคประชาชนยังต้องพบเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

“ช่วงแรกก็มีบางกลุ่มออกมาคัดค้าน เพราะไม่มั่นใจในระบบการตรวจสอบความปลอดภัยและผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น แต่รัฐบาลฝรั่งเศสมีความเชื่อในศักยภาพของเทคโนโลยีที่ผลิตได้ ประกอบกับมีระบบการตรวจสอบที่ถี่ถ้วน ทำให้รัฐบาลสนับสนุนเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยเน้นการเปิดเผยข้อมูลให้แก่สาธารณะทราบมากที่สุด โดยเฉพาะระบบการตรวจสอบที่มีการส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจวัดสารรั่วไหลบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง แม่น้ำลำธาร รวมทั้งมีการตรวจเช็คเครื่องไม้เครื่องมือในโรงไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอจึงไม่ตองกังวลถึงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น” นายเอลิอ็อง โบ ซาร์ ระบุ

นอกจากการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบมากที่สุด ผ่านเว็บไซต์ www.edf.com ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนส่งตัวแทนเข้ามาตรวจสอบได้ทุกเดือน ขณะเดียวกันยังมีนโยบายพัฒนาชุมชนในละแวกที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยการทุ่มงบประมาณแก่ ชุมชนถึงปีละ 25 ล้านยูโร เพื่อให้ชุมชนนั้น ๆ นำไปพัฒนาด้านต่าง ๆ ขณะเดียวกันประเด็นด้านความปลอดภัยของการควบคุมการใช้เทคโนโลยี อีดีเอฟมีระบบการฝึกอบรมบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญพิเศษ โดยการฝึกปฏิบัติจริงผ่านห้องจำลองการควบคุมการทำงานของโรงไฟฟ้าที่ได้รับมาตรฐานจากสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ ไอเออีเอ (International Atomic Energy Agency, IAEA)

ทางฟากรัฐบาลก็มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการเฝ้าระวังอีกทางหนึ่ง คือ สถาบันป้องกันอันตรายจากรังสีและความปลอดภัยทางนิวเคลียร์หรือ IRSN (Institut de radioprotection et de se’rete’ nucle’aire) สาธารณรัฐฝรั่งเศส

“ที่ผ่านมา สถาบันฯ ทำหน้าที่ในการตรวจสอบความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะภายหลังการก่อสร้างสถาบัน มีระบบตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำทุกปี และทุก ๆ 10 ปี จะสุ่มตรวจโรงไฟฟ้าอย่างละเอียด ถึงขนาดสั่งปิดโรงไฟฟ้าเป็นเวลา 2-3 เดือน เพื่อทำการตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ หากชำรุดหรือเก่าจะต้องทำการปรับเปลี่ยนทันที” นายสก็อต เดอ มาร์ แต็ง วิล หัวหน้าฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ IRSN บอก

สำหรับการดำเนินการเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะต้องเป็นไปตามแนวปฏิบัติของไอเออีเอ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสถานที่ตั้ง การออกแบบ การก่อสร้างและติดตั้ง การทดสอบและทดลอง การเดินเครื่อง การบำรุงรักษากระทั่งการเปลี่ยนเชื้อเพลิง ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในโรงไฟฟ้าก็ต้องได้รับมาตรฐานตามข้อกำหนดด้วย อาทิ ความเข้มข้นของเชื้อเพลิงต้องต่ำ เครื่องปฏิกรณ์ต้องได้รับการออกแบบให้ทำงานได้ต่อเมื่อปฏิกิริยาการแตกตัวคงที่ หากมีเหตุผิดปกติ เช่น อุณหภูมิน้ำสูงขึ้น ปฏิกิริยานิวเคลียร์จะลดลงจนกระทั่งหยุดลงอย่างอัตโนมัติซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ไม่สามารถระเบิดแบบเดียวกับระเบิดปรมาณูได้ประกอบกับมีการตรวจสอบอุปกรณ์และระบบต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอหากมีภัยธรรมชาติ เช่นพายุไต้ฝุ่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือเกิดอุบัติเหตุร้าย เช่น เครื่องบินชนระบบอัตโนมัติจะหยุดการเดินเครื่องทันที

นอกจากนี้ ยังมีระบบตรวจสอบความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้าง และภายหลังการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ว่าได้มาตรฐานครบถ้วนหรือไม่ยกตัวอย่าง การตรวจสอบระหว่างการก่อสร้าง เช่น กระบวนการการขนส่งวัสดุ ต้องมีการอบรมพนักงานขับรถให้มีความระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ขับขี่ในอัตราที่เร็วเกินกำหนด ซึ่งขึ้นอยู่กับวัสดุอุปกรณ์ที่ขนส่ง ส่วนการตรวจสอบภายหลังการก่อสร้างจะมีการประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ว่าพลังงานไฟฟ้าได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด และชุมชนรอบ ๆ โรงไฟฟ้าได้รับ ผลกระทบหรือไม่ รวมทั้งจะมีการประเมินถึงสวัสดิการหรือผลประโยชน์พึงได้ที่ชุมชนควรได้รับว่ามีเพียงพอหรือไม่ ทั้งสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุขหรือการพัฒนาชุมชนในแง่ต่าง ๆ ทั้งหมดต้องมีการประเมินความพึงพอใจทั้งสิ้น ที่สำคัญฝรั่งเศสยังมีกฎหมายบังคับให้ภาคประชาชนมีสิทธิในการสอบถาม หรือเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยภายในโรงไฟฟ้าได้อย่างเสรี หากใครขัดขวางต้องได้รับโทษถึงขั้นจำคุก

ส่วนประเด็นเรื่องการจัดการกากกัมมันตรังสีนั้น รัฐบาลฝรั่งเศสมีการวางระบบที่ชัดเจนผ่านหน่วยงานที่เรียกว่า สำนักงานบริหารจัดการกากกัมมันตรังสีแห่งชาติ ที่เมืองเบรียน เลอ ชาโต้ ซึ่งทำหน้าที่ในการจัดเก็บกากกัมมันตรังสีที่เหลือใช้จากทั่วประเทศ ทั้งในโรงพยาบาล สถาบันวิจัยและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยแต่ละปีจะจัดเก็บถังกากกัมมันตรังสีได้สูงถึง 12,000 ลูกบาศก์เมตร จากศักยภาพที่สามารถเก็บได้สูงถึง 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ภายในเวลา 60 ปี ทั้งนี้ ระบบการจัดเก็บกากมีความรัดกุมมาก โดยจะบรรจุลงในบรรจุภัณฑ์ชนิดพิเศษ และเคลื่อนย้ายด้วยรถบรรทุกที่ถูกจัดเก็บอย่างมิดชิด ซึ่งระหว่างการขนส่งจะมีมาตรการตรวจสอบสารรั่วไหลตลอดเส้นทางจนถึงโรงเก็บ และการเก็บกากจะถูกฝังใต้ดินลึกอย่างน้อย 300 เมตร ทั้งนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสยังออกกฎหมายการจัดการกากกัมมันตรังสี ที่ระบุว่า ภายในปี 256 จะต้องทำการจัดเก็บกากโดยการฝังใต้ดินลึกถึง 600 เมตร

.
.
.

ที่มา : http://www.thaienv.com/content/view/858/39/


สมฤทัย เจตเกษกิจ (มอมแมม) 075

2 ความคิดเห็น:

  1. การไปดูงานเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นเรื่องดี จะได้นำมาปรับใช้ แต่ว่าก่อนควรคิดถึงการนำพลังงานอื่นมาใช้ก่อน และปัญหาไม่น่าจะอยู่ที่ "อุปกรณ์" หรือ "เทคโนโลยี" แต่อยู่ที่ "คน" มากกว่า (ความรับผิดชอบ)

    ตอบลบ
  2. ระบบความปลอดภัยนั้น ต้องมีกฎระเบียบของข้อกำหนด ตามแบบมาตรฐาน
    ใช้กันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ชอบมีข้อผิดพลาดมาจาก ตังบุคคล ดังนั้น
    เห็นว่าน่าจะจับพนักงานไปนั่งสมาธิคนละ 2 ชั่วโมง

    ตอบลบ