วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เก็บข้อมูลใต้น้ำด้วยไอทีรู้ทันรับมือทุกการเปลี่ยนแปลง





















มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เนคเทคและผู้ประกอบการรีสอร์ท ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีไอทีเพื่อเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของโลกใต้ทะเล หวังศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดการฟอกขาวของปะการัง เผยปลอดภัย สะดวกและได้ข้อมูลเรียลไทม์กว่าการใช้นักดำน้ำ

ปรากฏการณ์อุณหภูมิน้ำ ทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดปะการังฟอกขาวในปี 2553 นักวิชาการจำเป็นต้องทำความเข้าใจรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิน้ำทะเล และการตอบสนองของปะการังต่ออุณหภูมิน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเฝ้าระวังและฟื้นฟูดูแลระบบนิเวศทางทะเล

ผศ.กฤษณะเดช เจริญสุธาสินี หัวหน้าศูนย์ความรู้เฉพาะด้านนิเวศวิทยาพยากรณ์และการจัดการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เปิดเผยว่า "ระบบเครือข่ายเซ็นเซอร์เฝ้าติดตามและส่งข้อมูลลักษณ ะทางกายภาพของระบบนิเวศวิทยาปะการัง" เป็นโครงการวิจัยที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของมหา วิทยาลัยวลัยลักษณ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)

โครงการนี้เริ่มตั้งแต่การติดตั้งเซ็นเซอร์ หรืออุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิน้ำทะเลและแสงแดด ตามจุดต่างๆใต้ท้องทะเล บริเวณบ้านรายารีสอร์ทแอนด์สปา เกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต แต่ข้อมูลที่ได้ไม่ทันสถานการณ์ เพราะการตรวจดูข้อมูลจากอุปกรณ์จะกระทำ 2-3 เดือนต่อครั้ง ทำให้บางครั้งปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวสิ้นสุดไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ เนคเทคซึ่งมีความร่วมมือกับเครือข่ายสังเกตการณ์แนวปะการัง และได้รับความร่วมมือจากออสเตรเลียให้ยืมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ (ซีทีดี) มาติดตั้งเสริมอุปกรณ์เซ็นเซอร์ตัวเดิม ทำให้ทีมวิจัยสามารถปรับเปลี่ยนระบบการเก็บข้อมูลและ การวัด สามารถตั้งค่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ เช่น ตั้งค่าอุณหภูมิวิกฤติ หรือให้ตรวจสอบปรากฏการณ์ เป็นต้น แถมยังสามารถควบคุมหรือสั่งการได้จากศูนย์ควบคุมบนบก

เครือข่ายเซ็นเซอร์อัจฉริยะสามารถวัดบันทึกเหตุการณ์ และข้อมูลที่สนใจได้ดี ผนวกกับเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย ที่มีระบบประมวลผลดิจิทัลที่รวดเร็ว ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต

เซ็นเซอร์อัจฉริยะจะเก็บข้อมูลภายภาพ 3 ด้านคือ ความเค็ม ความลึก และปริมาณแสงยูวี ประกอบกับข้อมูลจากเซ็นเซอร์เดิม ร่วมกับข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องจากสถานีวัดภาคพื้นดิน ส่งข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปยังเซิร์ฟเวอร์ของโค รงการและศูนย์ไอทีของบ้านรายารีสอร์ท สำหรับนำออกมาใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัย โดยที่นักวิจัยไม่ต้องเสี่ยงดำน้ำเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมใต้ทะเล
ขณะเดียวกันข้อมูลที่ได้รับจากเซ็นเซอร์อัจฉริยะยังเป็นแบบเรียลไทม์ นักท่องเที่ยวจึงสามารถเข้าดูปริมาณแสงยูวี ความเร็วลมหรืออื่นๆ สำหรับวางแผนประกอบกิจกรรมทางทะเลได้อย่างปลอดภัย

ด้าน ดร.พรเทพ วรรณรัตน์ หัวหน้าห้องปฏิบัติการวิจัยการจำลองขนาดใหญ่ เนคเทค ยกตัวอย่างถึงการใช้ประโยชน์จากข้อมูลของท้องทะเลว่า สามารถใช้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อแก้ปัญหาชายฝั่ง ซึ่งประกอบด้วย ระบบตรวจวัดอัตโนมัติ และแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ ที่ช่วยให้นักวิจัยมีข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะทำความเข้าใจกระบวนการต่างๆ ที่มีผลต่อชายฝั่งนำไปสู่การแก้ปัญหาชายฝั่ง ทั้งทางกายภาพและชีวภาพ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

โครงการนี้ถูกคาดหวังว่า จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานเจ้าภาพต่อเนื่องระยะ ยาว 10 ปี พร้อมทั้งการสนับสนุนเพิ่มจำนวนเซนเซอร์อัจฉริยะบนพื้นที่เกาะราชาใหญ่ และการขยายไปสู่การติดตั้งบนเกาะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ฝั่งอ่าวไทย คาดว่าจะเริ่มภายในปี 2554

จึงถือเป็นการประยุกต์ใช้ประโยชน์ไอทีสารสนเทศ เพื่อพลิกฟื้นระบบนิเวศทางทะเลให้สวยงามดังเดิมให้มากที่สุด



ที่มา: สถานีข่าวและกระดานสนทนา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ข่าวโดย คมชัดลึก 23 พ.ค. 54



ศิริพร ศรีอำนาจ (ออย)

2 ความคิดเห็น:

  1. ดีนะ เพราะ จะต้องมีการสำรวจอีกมากนัก เพราะโลกเราก็ร้อนขึ้นทุกวันๆๆ
    ประการังก็ ฟอกขาวก็สนุกสนานเลย เหอๆ

    ตอบลบ
  2. แจ่มจังง ไม่เสี่ยงด้วย
    มีการเข้าถึงการสำรวจได้ดีมากขึ้น

    ตอบลบ